21, ก.พ. 2025
GeoSpatial สำหรับการศึกษาปัญหา Microplastics

การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ (GeoSpatial) สำหรับการศึกษาปัญหาไมโครพลาสติก

บทนำ

ไมโครพลาสติก (Microplastics) หมายถึงเศษพลาสติกขนาดเล็กที่มีขนาดน้อยกว่า 5 มิลลิเมตร ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้จากทั้งกระบวนการผลิต (primary microplastics) และการย่อยสลายของพลาสติกชิ้นใหญ่ (secondary microplastics) ปัจจุบันไมโครพลาสติกได้แพร่กระจายสู่สิ่งแวดล้อมในวงกว้าง ทั้งในแหล่งน้ำจืด ทะเล มหาสมุทร ดิน และแม้กระทั่งในอากาศ

ด้วยลักษณะของการแพร่กระจายที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า การเฝ้าระวังและวิเคราะห์ปัญหาไมโครพลาสติกจึงต้องอาศัยเทคโนโลยีเชิงพื้นที่ (Geospatial Technology) โดยเฉพาะ ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS), การรับรู้ระยะไกล (Remote Sensing) และ การสร้างแบบจำลองเชิงพื้นที่ (Spatial Modeling) ซึ่งสามารถบูรณาการข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม อุทกวิทยา มนุษย์ และการใช้ที่ดินเข้าด้วยกันเพื่อทำความเข้าใจต้นกำเนิด การกระจาย และผลกระทบของไมโครพลาสติกได้อย่างครอบคลุม


บทบาทของ GeoSpatial Technology ในการจัดการไมโครพลาสติก

1. การระบุแหล่งกำเนิดไมโครพลาสติก (Source Identification)

GIS ช่วยในการติดตาม ต้นกำเนิดของไมโครพลาสติก จากกิจกรรมมนุษย์และแหล่งกำเนิดสำคัญ เช่น:

  • โรงงานอุตสาหกรรมพลาสติก, ระบบบำบัดน้ำเสีย, พื้นที่เมือง และการเกษตร
  • การใช้ ข้อมูลการใช้ที่ดิน (Land Use Data) ร่วมกับ ตำแหน่งของโรงงานอุตสาหกรรม และเส้นทางการไหลของน้ำฝน (Runoff Pathways) ช่วยระบุพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการปล่อยไมโครพลาสติกสู่สิ่งแวดล้อม

ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำไปใช้ในการสร้าง Hotspot Maps หรือ Spatial Risk Models เพื่อจัดลำดับความสำคัญของพื้นที่ที่ต้องการการควบคุม

การระบุต้นกำเนิดของไมโครพลาสติก (Source Tracking) เป็นขั้นตอนพื้นฐานที่สำคัญของการจัดการมลพิษประเภทนี้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในบริบทของ การวางแผนเชิงพื้นที่เพื่อการเฝ้าระวังและควบคุม ซึ่งระบบ GIS มีบทบาทสำคัญในด้านต่อไปนี้:


1.1. การจำแนกแหล่งกำเนิดหลักของไมโครพลาสติก

ไมโครพลาสติกสามารถเกิดขึ้นจากกิจกรรมของมนุษย์ในหลายภาคส่วน ได้แก่:

  • โรงงานอุตสาหกรรมพลาสติก: แหล่งผลิตวัตถุดิบเม็ดพลาสติก (nurdles) หรือเศษพลาสติกขนาดเล็กจากกระบวนการผลิต
  • ระบบบำบัดน้ำเสีย (Wastewater Treatment Plants: WWTPs): ที่อาจปล่อยเส้นใยขนาดเล็กจากเสื้อผ้า (microfibers) หรือเม็ดไมโครบีดส์จากผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด
  • พื้นที่เมือง (Urban Zones): ที่มีแหล่งกำเนิดจากการสึกหรอของยางรถยนต์ พื้นผิวถนน และขยะพลาสติกตามระบบระบายน้ำ
  • พื้นที่เกษตรกรรม: จากการใช้พลาสติกคลุมดิน (plastic mulch), ปุ๋ยชีวภาพที่ปนเปื้อน หรือการไหลของสารเคมีจากพื้นที่เพาะปลูก

GIS สามารถรวบรวมตำแหน่งของแหล่งเหล่านี้จากฐานข้อมูลของภาครัฐ อุตสาหกรรม และหน่วยงานสิ่งแวดล้อม แล้วเชื่อมโยงเข้ากับ ข้อมูลทางกายภาพของภูมิประเทศ เพื่อติดตามเส้นทางการไหลของมลพิษจากต้นทางสู่แหล่งน้ำ


1.2. การบูรณาการข้อมูลการใช้ที่ดินและเส้นทางการไหลของน้ำ

ข้อมูลการใช้ที่ดิน (Land Use Data) เป็นข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญสำหรับการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมของมนุษย์กับการปล่อยไมโครพลาสติก โดย GIS สามารถใช้:

  • ชั้นข้อมูลการใช้ที่ดิน (LU/LC) เช่น พื้นที่อุตสาหกรรม พื้นที่ชุมชน พื้นที่เกษตรกรรม และพื้นที่ชุ่มน้ำ เพื่อระบุลักษณะกิจกรรมที่อาจเป็นแหล่งกำเนิด
  • ข้อมูลเส้นทางการไหลของน้ำฝน (Runoff Pathways) จากแบบจำลองภูมิประเทศ (DEM) เพื่อระบุว่ามลพิษจากพื้นที่ต้นน้ำจะไหลเข้าสู่แหล่งน้ำปลายทางอย่างไร
  • การเชื่อมโยงกับ ตำแหน่งของท่อระบายน้ำ สถานีสูบน้ำ หรือจุดปล่อยน้ำเสีย เพื่อวิเคราะห์ว่าพื้นที่ใดเป็น “จุดเสี่ยงสูง” ต่อการปล่อยไมโครพลาสติก

ผลจากการวิเคราะห์นี้สามารถแสดงในรูปแบบ แผนที่แสดงทิศทางการไหลของมลพิษ (Pollutant Flow Maps) ที่ระบุเส้นทางจากต้นกำเนิดสู่แหล่งรับมลพิษได้อย่างชัดเจน


1.3. การสร้างแผนที่ความเสี่ยงและการวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยง (Hotspot Maps & Spatial Risk Modeling)

ข้อมูลทั้งหมดที่ได้จากการวิเคราะห์ GIS สามารถนำไปใช้ในการจัดทำ:

  • Hotspot Maps: แสดงพื้นที่ที่มีการระบุแหล่งกำเนิดไมโครพลาสติกจำนวนมาก หรือพื้นที่ที่มีการตรวจพบการปนเปื้อนจากข้อมูลภาคสนามซ้ำ ๆ
  • Spatial Risk Models: ใช้เทคนิคเชิงสถิติเชิงพื้นที่ (เช่น Weighted Overlay, Kernel Density Estimation, AHP) เพื่อประเมินความเสี่ยงเชิงพื้นที่โดยพิจารณาหลายปัจจัยร่วมกัน ได้แก่ ความหนาแน่นของแหล่งกำเนิด ระยะทางจากแหล่งน้ำ ความลาดชัน และการใช้ที่ดิน

ผลลัพธ์เหล่านี้สามารถนำไปใช้เพื่อ:

  • จัดลำดับพื้นที่ที่ควรมีมาตรการควบคุมหรือปรับปรุงระบบบำบัด
  • วางแผนการเก็บตัวอย่างและตรวจวัดคุณภาพน้ำอย่างมีเป้าหมาย
  • เสนอแนวทางเชิงนโยบาย เช่น การจำกัดกิจกรรมบางประเภทในเขตชุ่มน้ำ หรือกำหนดแนวเขตการป้องกันสิ่งแวดล้อม

1.4. การประยุกต์ใช้ในเชิงบริหารจัดการ

  • หน่วยงานท้องถิ่นและกรมควบคุมมลพิษ สามารถใช้ Hotspot Maps เพื่อจัดทำแนวนโยบายควบคุมและเฝ้าระวังไมโครพลาสติกในระดับตำบล/อำเภอ
  • องค์กรวิจัยด้านสิ่งแวดล้อม สามารถใช้แบบจำลองความเสี่ยงในการออกแบบโครงการสำรวจภาคสนาม
  • ภาคประชาชนและสื่อสารสาธารณะ สามารถเข้าถึงข้อมูลผ่าน Web GIS เพื่อเสริมสร้างความตระหนักรู้

GIS เป็นเครื่องมือที่มีศักยภาพสูงในการ ติดตามและจำแนกต้นกำเนิดของไมโครพลาสติก จากกิจกรรมของมนุษย์ในระดับพื้นที่ โดยการบูรณาการข้อมูลการใช้ที่ดิน เส้นทางการไหลของน้ำ และตำแหน่งแหล่งกำเนิด เข้ากับการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ ทำให้สามารถจัดลำดับความสำคัญของพื้นที่เสี่ยงและออกแบบมาตรการควบคุมอย่างมีเป้าหมาย การสร้างแผนที่ Hotspot และ Spatial Risk Model จึงเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันการจัดการปัญหาไมโครพลาสติกในระดับพื้นที่และระดับนโยบายอย่างมีประสิทธิภาพ


2. การติดตามการกระจายตัวในสิ่งแวดล้อม (Tracking Environmental Dispersion)

แม้ว่าไมโครพลาสติกไม่สามารถตรวจวัดได้โดยตรงจากดาวเทียม แต่ GeoSpatial สามารถสนับสนุนการศึกษาการแพร่กระจายของไมโครพลาสติกผ่าน:

  • การจำลองการไหลของน้ำในแม่น้ำและลำคลอง (Hydrological Modeling) ด้วย GIS และ DEM (Digital Elevation Models) เพื่อวิเคราะห์ว่าจุดปล่อยไมโครพลาสติกสามารถไหลไปถึงพื้นที่ใดบ้าง
  • การใช้ Remote Sensing ร่วมกับตัวชี้วัดทางสิ่งแวดล้อม เช่น NDWI (Normalized Difference Water Index), Chlorophyll-a, หรือสารแขวนลอย (Turbidity) เพื่อสังเกตความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพน้ำกับความเข้มข้นของไมโครพลาสติก
  • การวิเคราะห์ร่วมกับ ข้อมูลลมและกระแสน้ำ (Wind & Current Data) เพื่อสร้าง Marine Litter Drift Models ซึ่งแสดงเส้นทางการเคลื่อนที่ของไมโครพลาสติกในทะเล

การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศในการวิเคราะห์การแพร่กระจายของไมโครพลาสติกในสิ่งแวดล้อม

แม้ว่า ไมโครพลาสติก (Microplastics) จะมีขนาดเล็กเกินกว่าที่จะสามารถตรวจวัดได้โดยตรงจากระบบดาวเทียม (passive remote sensors) แต่การประยุกต์ใช้ เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ (GeoSpatial) ยังสามารถสนับสนุนการศึกษาเชิงพื้นที่เกี่ยวกับพฤติกรรมการแพร่กระจายของไมโครพลาสติกผ่านการจำลองและวิเคราะห์ตัวแปรแวดล้อมที่มีความสัมพันธ์โดยอ้อม ทั้งทางน้ำ อากาศ และระบบธรณีวิทยาได้อย่างครอบคลุม ดังรายละเอียดต่อไปนี้:


2.1. การจำลองการไหลของน้ำและการแพร่กระจายด้วยแบบจำลองทางอุทกวิทยา (Hydrological Modeling)

ระบบ GIS ผนวกกับ แบบจำลองภูมิประเทศดิจิทัล (Digital Elevation Models: DEMs) เช่น SRTM, ASTER หรือ ALOS สามารถใช้สร้างแบบจำลองการไหลของน้ำผิวดิน (surface runoff) เพื่อประเมิน เส้นทางการเคลื่อนที่ของไมโครพลาสติกจากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ

ขั้นตอนหลัก:

  • การใช้ Flow Direction และ Flow Accumulation Analysis เพื่อสร้างแผนที่ทิศทางและจุดสะสมของน้ำฝน
  • การวิเคราะห์ Catchment และ Watershed Delineation เพื่อระบุพื้นที่รับน้ำและจุดเชื่อมต่อสู่แม่น้ำหลัก
  • การจำลองเส้นทางการไหลของไมโครพลาสติกที่ถูกพัดพาไปตามลำคลองและแม่น้ำ โดยอิงจาก จุดปล่อยหรือแหล่งกำเนิด เช่น โรงงาน ชุมชน หรือระบบระบายน้ำ

ผลลัพธ์คือ แผนที่การกระจายศักยภาพของไมโครพลาสติกในพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ซึ่งสามารถใช้ในการออกแบบจุดเก็บตัวอย่างน้ำหรือการวางแผนเชิงนโยบายควบคุมมลพิษ


2.2. การประยุกต์ใช้ Remote Sensing และดัชนีสิ่งแวดล้อมเพื่อตรวจจับพื้นที่เสี่ยง

แม้ไมโครพลาสติกจะไม่สามารถตรวจพบได้โดยตรงจากข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม แต่สามารถใช้ ตัวชี้วัดทางสิ่งแวดล้อม (Environmental Indicators) ที่สัมพันธ์กับการสะสมของไมโครพลาสติก เช่น ความขุ่น ความเขียวของน้ำ หรือปริมาณสารอินทรีย์ ดังนี้:

ตัวชี้วัดที่ใช้ร่วมกับ Remote Sensing:

  • NDWI (Normalized Difference Water Index): สำหรับแยกแยะพื้นที่ผิวน้ำจากบก
  • Chlorophyll-a Concentration: ใช้ข้อมูลจาก Sentinel-3 หรือ MODIS เพื่อประเมินการเกิดยูโทรฟิเคชัน (eutrophication) ที่อาจสัมพันธ์กับแหล่งสะสมไมโครพลาสติก
  • Turbidity หรือ Total Suspended Solids (TSS): ใช้ Sentinel-2, Landsat-8 หรือ hyperspectral sensors เพื่อวิเคราะห์ค่าความขุ่นของน้ำที่อาจสะท้อนการปนเปื้อน

การนำข้อมูลเหล่านี้มาแสดงใน GIS ช่วยสร้าง แผนที่พื้นที่เสี่ยงสูง (High Turbidity Zones) ซึ่งอาจเป็นจุดสะสมของไมโครพลาสติกจากการพัดพาในระบบน้ำ


2.3. การสร้างแบบจำลองเส้นทางการลอยของขยะทะเล (Marine Litter Drift Models)

ในระบบนิเวศทางทะเล การวิเคราะห์พฤติกรรมของไมโครพลาสติกสามารถทำได้ผ่านแบบจำลองการลอยตัวของขยะพลาสติกโดยใช้ ข้อมูลลม กระแสน้ำ และคลื่นทะเล ที่มีผลต่อการเคลื่อนที่ของไมโครพลาสติกในแนวราบและแนวลึก

ข้อมูลและเครื่องมือที่ใช้:

  • ข้อมูลลม: จาก NOAA, ECMWF หรือ WindSat ซึ่งแสดงทิศทางและความเร็วลมบริเวณผิวน้ำ
  • ข้อมูลกระแสน้ำและคลื่น: จาก HYCOM (Hybrid Coordinate Ocean Model), CMEMS หรือ ThaiOceanForecast
  • แบบจำลองเชิงสมุทรศาสตร์: เช่น GNOME, OpenDrift หรือ Lagrangian Particle Tracking ใน ArcGIS

ผลลัพธ์คือการสร้าง Marine Litter Drift Models ที่สามารถระบุเส้นทางการลอยตัวของไมโครพลาสติกจากแหล่งปล่อย เช่น ปากแม่น้ำสู่ทะเล และบริเวณแนวชายฝั่งที่อาจมีการสะสมในระยะยาว


3. การวิเคราะห์ผลกระทบต่อระบบนิเวศและมนุษย์ (Impact Assessment)

การบูรณาการข้อมูลเชิงพื้นที่สามารถใช้ในการประเมินความเปราะบาง (Vulnerability) และผลกระทบของไมโครพลาสติกต่อสิ่งแวดล้อมและมนุษย์ได้ เช่น:

  • การทับซ้อนระหว่างเส้นทางการแพร่กระจายของไมโครพลาสติก กับพื้นที่ระบบนิเวศเปราะบาง เช่น แนวปะการัง ป่าชายเลน หรือแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ
  • การประเมินความเสี่ยงในพื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ หรือแหล่งประมงที่สำคัญ เพื่อป้องกันการสะสมของไมโครพลาสติกในห่วงโซ่อาหาร
  • การเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลสุขภาพของประชากรในพื้นที่ ที่อาจสัมผัสหรือบริโภคอาหารทะเลปนเปื้อนไมโครพลาสติก

แม้ไมโครพลาสติกจะตรวจจับโดยตรงจากระบบดาวเทียมไม่ได้ แต่เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ (GeoSpatial) โดยเฉพาะ GIS และ Remote Sensing สามารถนำมาใช้ในการ วิเคราะห์แบบอ้อม (Indirect Inference) เพื่อประเมิน รูปแบบการแพร่กระจาย พื้นที่สะสม และเส้นทางเคลื่อนที่ของไมโครพลาสติก ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาศัยการจำลองการไหลของน้ำ ข้อมูลสภาพแวดล้อม และสมุทรศาสตร์

การวิเคราะห์เหล่านี้เป็นกุญแจสำคัญในการ ออกแบบกลยุทธ์การเก็บข้อมูลภาคสนาม การวางแผนจัดการเชิงพื้นที่ และการสื่อสารเชิงนโยบาย ที่แม่นยำและสอดคล้องกับสถานการณ์เฉพาะพื้นที่


4. การสนับสนุนการกำหนดนโยบายและการวางแผนจัดการ (Policy & Management Planning)

GeoSpatial ช่วยให้นักวางแผนสามารถ:

  • จัดทำ เขตควบคุมการปล่อยไมโครพลาสติก (Pollution Control Zones)
  • วางแผนการจัดการน้ำเสียและสิ่งปฏิกูลให้มีความสอดคล้องกับพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง
  • สนับสนุนการสื่อสารเชิงพื้นที่กับสาธารณะผ่าน Web GIS หรือ Dashboard ที่แสดงการแพร่กระจายของมลพิษและพื้นที่เสี่ยง

ในยุคที่ข้อมูลเชิงพื้นที่และดิจิทัลกลายเป็นหัวใจของการตัดสินใจเชิงนโยบาย เทคโนโลยี GeoSpatial ไม่เพียงมีบทบาทด้านวิชาการและการวิเคราะห์เท่านั้น แต่ยังสามารถสนับสนุน การบริหารจัดการเชิงรุก (proactive governance) การบังคับใช้กฎหมาย และการสร้างความตระหนักรู้ในสังคมเกี่ยวกับปัญหาไมโครพลาสติกอย่างเป็นระบบ


1. การจัดทำเขตควบคุมการปล่อยไมโครพลาสติก (Pollution Control Zones)

การกำหนดพื้นที่ควบคุมหรือ “เขตควบคุมมลพิษ” เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการวางนโยบายสิ่งแวดล้อม ซึ่ง GIS สามารถช่วยระบุตำแหน่งพื้นที่ที่มีศักยภาพในการควบคุมการปล่อยไมโครพลาสติกได้อย่างมีหลักฐานเชิงประจักษ์ ผ่านการบูรณาการข้อมูล เช่น:

  • ตำแหน่งของ โรงงานอุตสาหกรรมพลาสติก, ศูนย์บำบัดน้ำเสีย, และพื้นที่ทิ้งขยะ
  • เส้นทางการไหลของน้ำฝน และ จุดเชื่อมต่อกับแหล่งน้ำธรรมชาติ ที่อาจพาไมโครพลาสติกลงสู่แม่น้ำหรือทะเล
  • ความหนาแน่นของประชากร และระดับความเปราะบางของพื้นที่ (e.g., พื้นที่ชุ่มน้ำ พื้นที่ประมงพื้นบ้าน)

GIS สามารถวิเคราะห์ปัจจัยเหล่านี้เพื่อจัดลำดับระดับความเสี่ยง และสร้าง แผนที่ Zoning ที่กำหนดข้อจำกัดการใช้พื้นที่ การติดตั้งระบบกรอง การออกใบอนุญาต หรือการตรวจสอบความเข้มงวดเฉพาะพื้นที่เสี่ยง


2. การวางแผนการจัดการน้ำเสียและสิ่งปฏิกูลตามบริบทพื้นที่

GeoSpatial ช่วยให้การวางแผนระบบจัดการน้ำเสียสามารถสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมในพื้นที่จริง โดยเฉพาะในบริบทของ การออกแบบเชิงพิกัด (location-based design) และ การประเมินเส้นทางการไหลของมลพิษ

  • GIS วิเคราะห์ตำแหน่งของ ระบบท่อส่งน้ำเสีย (Sewer Network) และ พื้นที่ทิ้งน้ำลงลำน้ำสาธารณะ เพื่อตรวจสอบความสัมพันธ์กับแหล่งชุมชน แหล่งน้ำ และพื้นที่เพาะปลูก
  • สามารถใช้แบบจำลอง Cumulative Impact Assessment เพื่อประเมินว่าแหล่งปล่อยหลายจุดรวมกันส่งผลต่อคุณภาพน้ำในพื้นที่ปลายน้ำอย่างไร
  • ช่วยกำหนดตำแหน่ง ระบบบำบัดน้ำเสียระดับชุมชน (Decentralized Wastewater Treatment) ให้ตรงกับความต้องการและลดการไหลของไมโครพลาสติกจากท่อสู่แหล่งน้ำโดยตรง

3. การสื่อสารเชิงพื้นที่ผ่าน Web GIS และ Dashboard เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของสาธารณะ

ในยุคของ open data และ smart environment governance การสื่อสารข้อมูลเชิงพื้นที่ไปยังประชาชนทั่วไปมีความสำคัญอย่างยิ่ง GeoSpatial สามารถแปลงผลการวิเคราะห์เป็นเครื่องมือเชิงปฏิบัติการและการเรียนรู้สาธารณะ เช่น:

Web GIS Platforms:

  • นำเสนอ แผนที่จุดปล่อยไมโครพลาสติก Hotspots
  • ให้ข้อมูลตำแหน่ง โครงการบำบัด / กิจกรรมรณรงค์ของชุมชน
  • แสดงเส้นทางการแพร่กระจายของมลพิษในแม่น้ำหรือชายฝั่งแบบ Interactive

Environmental Dashboard:

  • สรุปข้อมูลสำคัญ เช่น ความเข้มข้นของไมโครพลาสติก, คุณภาพน้ำ, ความถี่ของการเก็บตัวอย่าง
  • แสดงแนวโน้มและพฤติกรรมของมลพิษในรูปแบบกราฟหรือแผนที่เชิงเวลา (time-series)
  • ใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารนโยบายระหว่างรัฐ ท้องถิ่น และภาคประชาชนอย่างโปร่งใส

การมีระบบข้อมูลแบบเปิดเช่นนี้ยังสามารถสนับสนุนการทำงานของ เครือข่ายเฝ้าระวังภาคประชาชน (Citizen Science) ที่สามารถร่วมเก็บข้อมูลและเสนอพื้นที่เสี่ยงได้แบบ real-time


สรุป

การแก้ไขปัญหาไมโครพลาสติกในระดับพื้นที่และระดับประเทศ จำเป็นต้องใช้ข้อมูลเชิงพื้นที่ที่ครอบคลุมและเป็นระบบ เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ (GeoSpatial Technology) จึงมีบทบาทสำคัญทั้งในด้านการติดตามแหล่งกำเนิด การจำลองการแพร่กระจาย การประเมินผลกระทบ และการสนับสนุนเชิงนโยบาย ผ่านการวิเคราะห์ที่แม่นยำและสามารถมองเห็นได้ในระดับแผนที่

การผสาน GIS, Remote Sensing และแบบจำลองทางอุทกวิทยา จะช่วยให้การจัดการไมโครพลาสติกมีความเป็นองค์รวม (Integrated Management) และสามารถนำไปสู่การวางแผนสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนในอนาคต

GeoSpatial ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเทคนิค แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการ ออกแบบนโยบายเชิงพื้นที่ วางแผนโครงสร้างพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนการสื่อสารกับสาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดเขตควบคุม การวางผังระบบน้ำเสีย ไปจนถึงการนำเสนอข้อมูลในรูปแบบที่เข้าใจง่าย ผ่าน Web GIS และ Dashboard ที่เน้นความโปร่งใสและการมีส่วนร่วม

เทคโนโลยีเชิงภูมิสารสนเทศจึงเป็น “เครื่องมือยุทธศาสตร์” ที่ช่วยเชื่อมโยง ข้อมูล–การวิเคราะห์–การตัดสินใจ–การสื่อสาร เข้าด้วยกันอย่างครบวงจรในการจัดการปัญหาไมโครพลาสติกอย่างยั่งยืน

ใส่ความเห็น

Related Posts