บทที่ 6 : 6.3.2 การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงบรรยาย (Analysis of Non-Spatial Data)
๖.๓.๒ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงบรรยาย (Analysis of Non-Spatial Data)
การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงบรรยายในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ คือกระบวนการจัดการข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งทางภูมิศาสตร์โดยตรง เช่น ข้อมูลประชากร รายได้ ประเภทของดิน หรือประเภทการใช้ที่ดิน ซึ่งถูกจัดเก็บในรูปแบบตารางประกอบ (attribute table) ที่เชื่อมโยงกับชั้นข้อมูลเชิงพื้นที่ (spatial data)
การประมวลผลข้อมูลเชิงบรรยายในระบบ GIS ประกอบด้วยกระบวนการที่สำคัญ 3 ลักษณะ ดังต่อไปนี้:
(ก) การแก้ไขข้อมูลเชิงบรรยาย (Attribute Editing Function)
เป็นขั้นตอนเบื้องต้นในการจัดการฐานข้อมูล โดยสามารถดำเนินการ เรียกค้น (query), ตรวจสอบ (validate) และ แก้ไขข้อมูล (edit) ภายในตารางคุณลักษณะ (attribute table) ได้อย่างยืดหยุ่น รวมถึงสามารถ เพิ่มหรือลบเขตข้อมูล (fields) และ ปรับค่าของข้อมูล เพื่อให้สอดคล้องกับข้อมูลพื้นที่ปัจจุบัน
กระบวนการ การแก้ไขข้อมูลเชิงบรรยาย หมายถึง การจัดการ ปรับปรุง และควบคุมความถูกต้องของข้อมูลใน ตารางคุณลักษณะ (Attribute Table) เพื่อให้สอดคล้องกับสถานะปัจจุบันของข้อมูลเชิงพื้นที่ และสามารถนำไปใช้งานวิเคราะห์หรือสร้างแบบจำลองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ยังสามารถ เชื่อมโยงตารางข้อมูลหลายชุดเข้าด้วยกัน (Table Join) เพื่อเสริมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง หรือแปลงให้เป็นตารางเดียว โดยอาศัยคีย์ร่วม เช่น รหัสแปลง หรือรหัสพื้นที่
ตัวอย่างเช่น: การเชื่อมข้อมูลตารางแผนที่การใช้ที่ดินเข้ากับตารางสถิติผลผลิตทางการเกษตรในแต่ละปี

รูปที่ 6.3 การแก้ไขและการเชื่อมความสัมพันธ์ตาราง
การแก้ไขข้อมูลเชิงบรรยาย (Attribute Editing Function)
ในการประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) การจัดการข้อมูลเชิงบรรยาย (attribute data) เป็นกระบวนการที่สำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นส่วนที่แสดงถึงคุณลักษณะของวัตถุเชิงพื้นที่ที่ปรากฏในแผนที่ เช่น ชื่อพื้นที่ ประเภทการใช้ที่ดิน ประชากร หรือรหัสเขตการปกครอง
ขั้นตอนของ การแก้ไขข้อมูลเชิงบรรยาย สามารถสรุปได้ดังนี้:
- เรียกค้นข้อมูล (Query): การสืบค้นข้อมูลจากตารางคุณลักษณะ โดยใช้เงื่อนไขเชิงตรรกะ เช่น ค้นหาเฉพาะแปลงที่มีขนาดพื้นที่มากกว่า 10 ไร่ หรือแสดงเฉพาะพื้นที่ที่มีการใช้ประโยชน์เป็น “พาณิชยกรรม”
- ตรวจสอบข้อมูล (Validate): ตรวจสอบความถูกต้องของค่าที่บันทึกไว้ เช่น ตรวจสอบว่าค่า “ปีปลูก” ไม่มากกว่าปีปัจจุบัน หรือรหัสหมู่บ้านตรงกับรหัสในตารางอ้างอิง
- แก้ไขข้อมูล (Edit): แก้ไขค่าภายในฟิลด์ เช่น การแก้ไขชื่อหมู่บ้านที่สะกดผิด การอัปเดตรายได้เฉลี่ย หรือการปรับรหัสประเภทที่ดินให้ถูกต้องตามมาตรฐาน
- เพิ่มหรือลบเขตข้อมูล (Add/Delete Fields):
การเพิ่มเขตข้อมูลใหม่ (Add Field) เพื่อจัดเก็บข้อมูลเพิ่มเติม เช่น “คะแนนความเหมาะสม” หรือ “ลำดับความเสี่ยงภัย” และสามารถลบเขตข้อมูลที่ไม่จำเป็นออกเพื่อทำให้ตารางกระชับและมีประสิทธิภาพมากขึ้น - การคำนวณฟิลด์ (Field Calculation): การสร้างสูตรเพื่อคำนวณค่าภายในฟิลด์ เช่น คำนวณพื้นที่ต่อประชากร (พื้นที่ / จำนวนประชากร) หรือใช้ QGIS Expression/ArcGIS Field Calculator เพื่อประมวลผลข้อมูลเชิงปริมาณ
✦ ขั้นตอนหลักในการแก้ไขข้อมูลเชิงบรรยาย
- เรียกค้นข้อมูล (Query):
ใช้ฟังก์ชันการค้นหา เช่นSELECT
,FILTER
, หรือSQL expression
เพื่อแสดงระเบียนที่ตรงตามเงื่อนไข เช่นland_use = 'Agriculture'
population > 5000
- ตรวจสอบข้อมูล (Validate):
ตรวจสอบความครบถ้วน ความสอดคล้อง และความสมเหตุสมผล เช่น- ค่า
NULL
ที่ไม่ควรมีในฟิลด์สำคัญ - ปี พ.ศ. ของเหตุการณ์ต้องไม่เกินปัจจุบัน
- รหัสพื้นที่ต้องมีในตารางอ้างอิง
- ค่า
- แก้ไขและปรับปรุงข้อมูล (Edit):
- เปลี่ยนชื่อหรือค่าที่ผิด เช่น แก้ “ตากใบ” เป็น “เมืองนราธิวาส”
- ปรับค่าคุณลักษณะ เช่น จาก “เสี่ยงต่ำ” เป็น “เสี่ยงปานกลาง”
- แก้หน่วยวัด เช่น จาก ‘cm’ เป็น ‘m’
- เพิ่มหรือลบฟิลด์ (Add/Delete Field):
- เพิ่มฟิลด์ใหม่ เช่น
suitability_score
เพื่อประเมินความเหมาะสม - ลบฟิลด์ที่ไม่จำเป็น เช่น
notes_old
ที่ไม่มีการใช้งาน
- เพิ่มฟิลด์ใหม่ เช่น
- การคำนวณค่าอัตโนมัติ (Field Calculation):
- ใช้สูตรคำนวณใน Field Calculator เช่น
density = population / area
score = if(slope < 15, 'High', 'Moderate')
- ใช้งานร่วมกับ expression หรือ Python ใน ArcGIS หรือ QGIS expression builder
- ใช้สูตรคำนวณใน Field Calculator เช่น
ในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) การแปลงหน่วยพื้นที่จาก ตารางเมตร (Square Meters) เป็น ไร่ สามารถทำได้อย่างสะดวกด้วยเครื่องมือ Field Calculator ทั้งในโปรแกรม QGIS และ ArcGIS Pro โดยใช้สูตรคำนวณง่าย ๆ ดังนี้:
🧮 สูตรคำนวณหน่วยพื้นที่:
ไร่ (Rai) =
พื้นที่ตารางเมตร / 1600
🔧 ตัวอย่างใน QGIS (Field Calculator):
หากคุณมีฟิลด์ชื่อว่า area_m2
ที่เก็บค่าพื้นที่ในหน่วย ตารางเมตร, สามารถเพิ่มฟิลด์ใหม่ชื่อ area_rai
แล้วใช้สูตร:
qgisCopyEdit"area_m2" / 1600
🔧 ตัวอย่างใน ArcGIS Pro (Calculate Field):
หากใช้ภาษา Python 3 (default), และฟิลด์ที่เก็บค่าตารางเมตรชื่อว่า area_m2
, สูตรคือ:
pythonCopyEdit!area_m2! / 1600
หรือหากต้องการให้แสดงค่าทศนิยม 2 ตำแหน่ง:
pythonCopyEditround(!area_m2! / 1600, 2)
📝
✦ ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน
Feature | Field Name | แก้ไขจาก | แก้ไขเป็น |
---|---|---|---|
Polygon 012 | landuse | “เกษตร” | “ที่อยู่อาศัย” |
Point 203 | village_name | “บ้านห้วยลึก” | “บ้านห้วยใหม่” |
Line 045 | road_type | “ลูกรัง” | “ลาดยาง” |
✦ เครื่องมือที่ใช้ในการแก้ไขข้อมูลเชิงบรรยายใน GIS Software
Software | เครื่องมือที่ใช้ |
---|---|
QGIS | Attribute Table Editor, Field Calculator, Expressions |
ArcGIS Pro | Fields View, Calculate Field, Attribute Rules |
PostGIS | SQL Query Editor (e.g., UPDATE , ALTER TABLE ) |
(ข) การสอบถามข้อมูลเชิงบรรยาย (Attribute Query Function)
การสอบถามข้อมูลเชิงบรรยายคือกระบวนการ ดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลด้วยเงื่อนไขเฉพาะ ที่ผู้ใช้ตั้งไว้ ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็นหลายระดับ ได้แก่:
- การสอบถามอย่างง่าย (Simple Query) เช่น การเลือกแปลงที่ดินที่มีการใช้ประเภท “พื้นที่นา” หรือ “พื้นที่อยู่อาศัย” ด้วยคำสั่ง
SELECT * FROM landuse WHERE TYPE = 'ที่นา'
- การสอบถามเชิงซ้อน (Complex Query) ซึ่งใช้การจัดเงื่อนไขหลายแบบพร้อมกัน เช่น การกรองข้อมูลตามปี + ตามค่า เช่น
ประเภทป่าไม้ที่มีขนาดพื้นที่ > 50 ไร่ ในปี 2565
- การเชื่อมโยงข้อมูลแบบสัมพันธ์ (Relational Join) เพื่อดึงข้อมูลจากหลายตาราง โดยใช้คีย์ร่วมในการเชื่อมโยง เช่น การเชื่อมตาราง “รหัสเขตการปกครอง” กับตาราง “ระดับรายได้เฉลี่ยรายครัวเรือน” เพื่อแสดงรายได้ตามเขต
ผลลัพธ์จากการสอบถามข้อมูลจะสามารถแสดงผลทั้งในรูปแบบ ตาราง และ เชิงพื้นที่ ได้ทันที

รูปที่ 6.4 การสอบถามข้อมูลโดยตั้งเงื่อนไข
การสอบถามข้อมูลเชิงบรรยาย (Attribute Query Function)
ในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) การสอบถามข้อมูลเชิงบรรยาย หรือ Attribute Query เป็นกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณลักษณะ (Non-spatial Data) ที่จัดเก็บอยู่ในตารางคุณลักษณะ (Attribute Table) ของข้อมูลเชิงพื้นที่ เช่น จุด เส้น หรือพื้นที่ เพื่อค้นหาข้อมูลที่ตรงตามเงื่อนไขที่กำหนดโดยผู้ใช้
ประเภทของการสอบถามข้อมูลเชิงบรรยาย
- การสอบถามแบบง่าย (Simple Query)
เป็นการตั้งเงื่อนไขโดยตรงในฟิลด์ใดฟิลด์หนึ่ง เช่น"LandUse" = 'Agriculture'
"Population" > 1000
"Province" = 'Chiang Mai'
- การสอบถามแบบมีตรรกะเชิงซ้อน (Logical Compound Query)
ใช้ตัวดำเนินการทางตรรกะ (logical operators) เช่น AND, OR, NOT เพื่อเพิ่มความซับซ้อนของเงื่อนไข"SoilType" = 'Sandy' AND "Slope" < 10
"Rainfall" > 1200 OR "NDVI" > 0.4
- การสอบถามด้วยฟังก์ชันหรือการคำนวณ (Calculated Query)
ใช้ร่วมกับตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ เช่น"Area_m2" / 1600 >= 5
(แสดงพื้นที่มากกว่า 5 ไร่)"Male" + "Female" > 5000
(รวมประชากร)
- การสอบถามเชิงสัมพันธ์ (Join-Based Query)
ใช้เมื่อมีการเชื่อมโยง (join) ตารางข้อมูลภายนอกเข้ากับข้อมูลเชิงพื้นที่ และสามารถสอบถามได้จากฟิลด์ในตารางที่เชื่อมโยง"EducationData.SchoolType" = 'Primary' AND "Districts.Province" = 'Phayao'
ตัวอย่างในโปรแกรม QGIS หรือ ArcGIS
- QGIS:
ใช้ฟังก์ชัน Select by Expression หรือ Field Calculator sqlCopyEdit"Population" > 10000 AND "Area_km2" < 50
- ArcGIS:
ใช้ Select By Attributes sqlCopyEdit[LandUse] = 'Forest' AND [Slope] >= 30
ประโยชน์ของ Attribute Query
- ค้นหาข้อมูลเฉพาะเจาะจงอย่างมีประสิทธิภาพ
- ใช้เป็นเงื่อนไขเบื้องต้นสำหรับการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ (Spatial Analysis)
- สร้าง Subset ของข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์หรือทำแผนที่
- ใช้ร่วมกับคำสั่ง Symbology เพื่อจำแนกสีหรือขนาดของวัตถุตามค่าคุณลักษณะ
🔍 1. ค้นหาข้อมูลเฉพาะเจาะจงอย่างมีประสิทธิภาพ
- Attribute Query หรือการค้นหาจากตารางข้อมูลคุณลักษณะ (attribute table) ช่วยให้สามารถสืบค้นข้อมูลเฉพาะ เช่น ค้นหาตำบลที่มีประชากรมากกว่า 10,000 คน หรือพื้นที่ป่าไม้ที่มีสถานะ “อนุรักษ์”
- สนับสนุนการ ตัดสินใจแบบมีข้อมูลอ้างอิง (data-informed decision making)
ตัวอย่าง:
sqlCopyEditSELECT * FROM landuse WHERE land_type = 'Agriculture'
🧭 2. ใช้เป็นเงื่อนไขเบื้องต้นสำหรับการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ (Spatial Analysis)
- ช่วยจำกัดขอบเขตของข้อมูลที่จะนำไปใช้ใน Spatial Analysis เช่น Buffer, Intersect, Union, Clip
- ช่วยลดเวลาในการประมวลผล และเพิ่มความแม่นยำของการวิเคราะห์
ตัวอย่างการประยุกต์:
- สร้าง Buffer เฉพาะโรงพยาบาลในจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อหาพื้นที่บริการ 5 กิโลเมตร
🗂️ 3. สร้าง Subset ของข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์หรือทำแผนที่
- สามารถคัดกรองข้อมูลเป็นชั้นข้อมูลใหม่ (Layer) เพื่อการนำเสนอหรือประมวลผลเฉพาะกลุ่ม
- ช่วย จัดการข้อมูลจำนวนมาก ให้เหลือเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นต่อการศึกษา
ตัวอย่าง: การแยกพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมระดับสูงออกมาเป็นชั้นข้อมูลใหม่จากชั้นข้อมูลพื้นที่เสี่ยงทั้งหมด
🎨 4. ใช้ร่วมกับคำสั่ง Symbology เพื่อจำแนกสีหรือขนาดของวัตถุตามค่าคุณลักษณะ
- Attribute Query ทำงานร่วมกับ Symbology ในการแสดงผล เช่น การใช้สีหรือขนาดแสดงความแตกต่างของข้อมูล
- ช่วย สื่อสารข้อมูลเชิงภาพ (Cartographic Communication) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่าง:
- ถนนที่มีความกว้างมากกว่า 12 เมตร แสดงเป็นเส้นสีแดง ส่วนถนนขนาดเล็กเป็นสีเทา
- พื้นที่ป่าที่มีชนิดไม้ “เต็งรัง” แสดงเป็นสีเขียวเข้ม
(ค) กระบวนการทางสถิติ (Attribute Statistical Function)
GIS มีฟังก์ชันรองรับการ คำนวณค่าทางสถิติ จากข้อมูลเชิงบรรยาย เช่น
- ค่าเฉลี่ย (Mean)
- ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)
- ค่าต่ำสุด/สูงสุด (Min/Max)
- ความสัมพันธ์ (Correlation)
- การแจกแจงความถี่ (Frequency Distribution)
ผลลัพธ์ที่ได้สามารถใช้เพื่อสังเคราะห์ข้อมูลในรายงาน หรือ สร้างชั้นข้อมูลใหม่ ที่ผ่านการวิเคราะห์แล้วเพื่อใช้ในขั้นตอนการวิเคราะห์ขั้นสูง เช่น การจัดกลุ่ม (classification) หรือการให้คะแนนความเหมาะสม (suitability scoring)
ตัวอย่าง: วิเคราะห์ค่าเฉลี่ยของผลผลิตข้าวในแต่ละอำเภอ และแสดงผลแบบ thematic map เพื่อเปรียบเทียบ

รูปที่ 6.5 คำนวณค่าสถิติของข้อมูลเชิงคุณลักษณะ
กระบวนการทางสถิติ (Attribute Statistical Function) ในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) เป็นการต่อยอดจากการใช้ Attribute Query โดยเน้นที่ การสรุปเชิงปริมาณ (Quantitative Summarization) และ การวิเคราะห์แนวโน้มของข้อมูลในเชิงสถิติ จากตารางคุณลักษณะ (Attribute Table) ซึ่งมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการวิเคราะห์เชิงพื้นที่และการตัดสินใจเชิงนโยบาย
📊 ความหมายของ Attribute Statistical Function
Attribute Statistical Function คือกระบวนการหรือเครื่องมือในซอฟต์แวร์ GIS ที่ใช้คำนวณและสรุปข้อมูลเชิงสถิติจากฟิลด์ (Field) หรือคอลัมน์ในตารางข้อมูลเชิงคุณลักษณะ เช่น:
- คำนวณผลรวม (Sum)
- หาค่าเฉลี่ย (Mean)
- ค่ามากที่สุด (Maximum)
- ค่าน้อยที่สุด (Minimum)
- ค่ากลาง (Median)
- ค่ามาตรฐานเบี่ยงเบน (Standard Deviation)
🧪 ตัวอย่างกระบวนการทางสถิติใน Attribute Table
ฟังก์ชัน | คำอธิบาย | ตัวอย่างใน GIS |
---|---|---|
SUM | ผลรวมของค่าทั้งหมดในฟิลด์หนึ่ง | หาผลรวมประชากรของทุกอำเภอในจังหวัด |
MEAN | ค่าเฉลี่ยของข้อมูลในฟิลด์ | หาค่าเฉลี่ยของพื้นที่เพาะปลูกต่อแปลงที่ดิน |
MIN/MAX | ค่าน้อยสุด/มากสุด | หาพื้นที่ป่าที่มีความสูงต่ำสุด/สูงสุด |
STDDEV | ค่าความแปรปรวนของข้อมูล | ตรวจสอบการกระจายของระดับมลพิษ PM2.5 |
COUNT | นับจำนวนรายการที่มีข้อมูล | ตรวจสอบจำนวนหมู่บ้านที่มีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต |
โปรแกรม GIS ที่ใช้บ่อย: QGIS, ArcGIS, GRASS GIS, PostGIS (ใช้ SQL)
🧩 การประยุกต์ใช้ Attribute Statistical Function
1. วิเคราะห์ทรัพยากร
- หาพื้นที่รวมของที่ดินประเภท “เกษตรกรรม” เพื่อวางแผนการจัดสรรน้ำ
2. การประเมินผลกระทบ
- หาค่าเฉลี่ยของระดับมลพิษอากาศ (PM2.5) แต่ละเขต เพื่อจัดอันดับพื้นที่วิกฤติ
3. จัดลำดับความสำคัญ
- จำแนกพื้นที่ตามระดับรายได้เฉลี่ย เพื่อกำหนดนโยบายช่วยเหลือ
4. สนับสนุนการตัดสินใจ
- ใช้สถิติพื้นฐานจากข้อมูล GIS เพื่อวิเคราะห์ความเหมาะสมในการเลือกสถานที่ตั้งศูนย์บริการ
⚙️ ขั้นตอนพื้นฐานในซอฟต์แวร์ GIS (เช่น QGIS)
- เปิด Attribute Table
- ใช้ฟังก์ชัน Statistics Panel หรือ Field Calculator
- เลือกฟิลด์ที่ต้องการวิเคราะห์
- โปรแกรมจะแสดงผลค่าทางสถิติ เช่น ค่าเฉลี่ย ผลรวม ฯลฯ
- สามารถ Export ค่าดังกล่าวออกไปยังตารางใหม่ หรือแสดงผลบนแผนที่
🧠 การเชื่อมโยงกับ Spatial Analysis
Attribute Statistical Function ไม่ได้ใช้แยกจากการวิเคราะห์เชิงพื้นที่:
- เมื่อนำข้อมูลที่ได้จากสถิติมาใช้ร่วมกับการทำ Thematic Mapping หรือ Cluster Analysis จะช่วยให้วิเคราะห์เชิงลึกยิ่งขึ้น
- เป็นรากฐานของ Geostatistics และ Spatial Regression Models
ตัวอย่างการเขียนสูตร Attribute Statistical Function ทั้งในเครื่องมือ Field Calculator ของ QGIS และการใช้ SQL Expression (ในกรณีใช้กับฐานข้อมูล GIS เช่น PostGIS หรือ Layer ที่รองรับ SQL Query ใน QGIS/ArcGIS) เพื่อให้เห็นภาพการนำไปใช้จริงในการวิเคราะห์เชิงสถิติในตารางคุณลักษณะ (Attribute Table)
🧮 ตัวอย่างที่ 1: การใช้ Field Calculator ใน QGIS
📌 คำนวณ “ความหนาแน่นประชากร” (Population Density)
qgisCopyEdit"population" / "area_km2"
หาก
population
เป็นจำนวนประชากร และarea_km2
เป็นพื้นที่หน่วยตารางกิโลเมตร
📌 คำนวณ “ค่าเฉลี่ยของคะแนนสุขภาพ” จาก 3 ฟิลด์
qgisCopyEdit( "health_score1" + "health_score2" + "health_score3" ) / 3
📌 ตรวจสอบว่า PM2.5 เกินค่ามาตรฐานหรือไม่ (Boolean)
qgisCopyEdit"pm25" > 50
คืนค่า
True
หรือFalse
(ใช้สร้าง Field ใหม่ได้)
📌 สร้างเงื่อนไขแบบ CASE WHEN เพื่อจำแนกกลุ่มข้อมูล
qgisCopyEditCASE
WHEN "pm25" <= 25 THEN 'ดีมาก'
WHEN "pm25" <= 50 THEN 'ดี'
WHEN "pm25" <= 100 THEN 'ปานกลาง'
ELSE 'มีผลกระทบ'
END
📊 ตัวอย่างที่ 2: การใช้ SQL Expression (เช่นใน PostGIS หรือ DB Manager)
📌 หาค่าเฉลี่ยประชากร
sqlCopyEditSELECT AVG(population) AS avg_pop
FROM districts;
📌 หาค่ารวมของพื้นที่ทั้งหมด
sqlCopyEditSELECT SUM(area_km2) AS total_area
FROM landuse;
📌 หาค่าสูงสุดของ PM2.5 เฉพาะในเขตเมือง
sqlCopyEditSELECT MAX(pm25)
FROM air_quality
WHERE zone_type = 'Urban';
📌 หาจำนวนรายการที่มีค่า NULL ในฟิลด์ใดฟิลด์หนึ่ง
sqlCopyEditSELECT COUNT(*)
FROM villages
WHERE internet_access IS NULL;
🧪 ตัวอย่างการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ + สถิติ (QGIS + Spatial SQL)
📌 หาค่าเฉลี่ยพื้นที่ป่าไม้ในแต่ละอำเภอ (Spatial Join + AVG)
sqlCopyEditSELECT d.name AS district_name, AVG(forest.area) AS avg_forest_area
FROM districts d
JOIN forest ON ST_Intersects(d.geom, forest.geom)
GROUP BY d.name;
🎯
บทสรุป
การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงบรรยายใน GIS จึงเป็นการนำหลักการของฐานข้อมูลและสถิติมาใช้ เพื่อทำให้ข้อมูลที่ไม่สามารถแสดงเป็นตำแหน่งโดยตรง กลายเป็นข้อมูลที่สามารถสืบค้น วิเคราะห์ และแปลความหมายร่วมกับข้อมูลแผนที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อรวมกับข้อมูลเชิงพื้นที่จะสามารถสร้างผลลัพธ์ที่มีมิติเชิงพื้นที่และเชิงคุณลักษณะไปพร้อมกัน