บทที่ 3 : 3.1 ประเภทข้อมูลในระบบ GIS
บทที่ ๓ ลักษณะของข้อมูลในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์
(Characteristics of GIS Information)
ในบทนี้จะอธิบายถึงลักษณะของข้อมูลที่ใช้ใน ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information Systems: GIS) ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำงานและการวิเคราะห์ข้อมูลทางพื้นที่ ผู้ศึกษาในสาขานี้จำเป็นต้องมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในประเภทและโครงสร้างของข้อมูล เพื่อให้สามารถประยุกต์ใช้ระบบ GIS ได้อย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำ
๓.๑ ประเภทของข้อมูลในระบบ GIS
คำว่า “ข้อมูล” (Data) ในบริบทของ GIS หมายถึง ค่าสังเกตหรือค่าที่ได้จากการบันทึกคุณสมบัติของวัตถุหรือปรากฏการณ์ในพื้นที่ ซึ่งค่าดังกล่าวจะยังไม่มีความหมาย จนกว่าจะมีการประมวลผล วิเคราะห์ หรือสังเคราะห์ให้เป็น “สารสนเทศ” (Information) ที่สามารถใช้ในการตัดสินใจได้
ข้อมูล (Data) หมายถึง ค่าสังเกตหรือค่าที่ได้จากการบันทึกคุณสมบัติของวัตถุหรือปรากฏการณ์ต่างๆ ซึ่งในตัวเองยังไม่มีความหมายจนกว่าจะผ่านการวิเคราะห์และแปลความหมายจนกลายเป็น สารสนเทศ (Information) ที่ช่วยให้ผู้บริหารหรือผู้ใช้งานสามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อมูลที่ดีต้องมีความถูกต้อง (Accuracy) และทันสมัย
สารสนเทศที่มีคุณภาพควรมีคุณลักษณะสำคัญ เช่น ความถูกต้อง (Accuracy) และ ความทันเวลา (Timeliness) โดยเฉพาะในระบบ GIS ซึ่งต้องจัดการกับข้อมูลจำนวนมากที่เชื่อมโยงกับตำแหน่งเชิงภูมิศาสตร์
ผู้บริหารหรือผู้ใช้ข้อมูลอาจนำข้อมูลดิบมาประมวลผล เช่น หาค่าเฉลี่ย เปรียบเทียบกับข้อมูลในอดีต หาความแปรปรวนหรือความเบี่ยงเบนมาตรฐาน เพื่อแปลงเป็นสารสนเทศที่มีความหมายและสามารถใช้เพื่อการตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตามแนวคิดทางภูมิศาสตร์ (สุพรรณ, 2534) ข้อมูลในระบบ GIS สามารถจำแนกออกได้เป็น ๒ ประเภทหลัก ได้แก่:
๑. ข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial Data)
หมายถึงข้อมูลที่สามารถ อ้างอิงกับตำแหน่งบนพื้นผิวโลก ได้อย่างชัดเจน หรือที่เรียกว่า Geo-referenced data ข้อมูลเชิงพื้นที่นี้สามารถแสดงออกผ่านระบบพิกัดภูมิศาสตร์ และมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากข้อมูลในระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (MIS: Management Information System) ซึ่งมักไม่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งทางภูมิศาสตร์
ในระบบ GIS ข้อมูลเชิงพื้นที่สามารถแสดงในรูปแบบของ สัญลักษณ์ทางแผนที่ (Map Features) ได้ ๓ รูปแบบ ได้แก่:
- จุด (Point): แสดงตำแหน่งสิ่งที่มีขนาดเล็กเกินกว่าจะเป็นพื้นที่ เช่น ที่ตั้งหมู่บ้าน, จุดตัดของถนนหรือแม่น้ำ
- เส้น (Line): แสดงสิ่งที่มีลักษณะเป็นแนว เช่น ถนน, ลำคลอง, ทางรถไฟ, แนวพรมแดน
- พื้นที่ (Area / Polygon): ใช้แสดงสิ่งที่มีมิติของพื้นที่ เช่น พื้นที่เพาะปลูก, เขตป่าไม้, เขตการปกครอง
๒. ข้อมูลที่ไม่ใช่เชิงพื้นที่ (Non-Spatial Data หรือ Attribute Data)
ข้อมูลประเภทนี้หมายถึง ข้อมูลที่อธิบายคุณลักษณะหรือรายละเอียดของวัตถุที่อยู่ในพื้นที่ เช่น:
- ข้อมูลการถือครองที่ดิน
- ข้อมูลธาตุอาหารในดิน
- ข้อมูลประชากร เศรษฐกิจ และสังคม
ลักษณะข้อมูลเชิงคุณลักษณะ (Attribute Characteristics)
ข้อมูลเชิงคุณลักษณะหมายถึงลักษณะประจำตัวหรือคุณสมบัติที่มีความแปรผันตามธรรมชาติและสถานที่ศึกษา โดยอาจเป็นข้อมูลที่ต่อเนื่อง เช่น ระดับความสูง (Terrain Elevation) หรือไม่ต่อเนื่อง เช่น จำนวนประชากร และชนิดของการใช้ที่ดิน ข้อมูลเหล่านี้มักถูกวัดและจัดเก็บในรูปแบบตัวเลข (Numeric) โดยแบ่งระดับการวัดออกเป็น 3 ระดับหลัก ได้แก่
- Nominal Level: การจำแนกลักษณะโดยใช้ตัวเลขหรือสัญลักษณ์เพื่อแยกประเภท เช่น 1=ป่าไม้, 2=ทุ่งหญ้า โดยไม่มีความหมายเชิงปริมาณหรือการเปรียบเทียบ
- Ordinal Level: การจัดอันดับหรือเปรียบเทียบลักษณะ เช่น ถนนสายหลัก=1, ถนนรอง=2 ซึ่งแสดงความสำคัญแต่ไม่บอกปริมาณความแตกต่าง
- Interval – Ratio Level: การวัดที่แสดงความแตกต่างเชิงปริมาณ เช่น พื้นที่ป่าไม้มีขนาดใหญ่กว่าทุ่งหญ้า 2 เท่า หรือระดับความสูง 500 เมตร สูงกว่า 400 เมตร 100 เมตร
การเข้าใจลักษณะและประเภทของข้อมูลในระบบ GIS เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยให้การจัดการ วิเคราะห์ และนำเสนอข้อมูลเชิงพื้นที่เป็นไปอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพสูงสุด.
แม้ว่าข้อมูลเหล่านี้จะไม่แสดงตำแหน่งโดยตรง แต่จะมีการเชื่อมโยงกับ Feature ที่อยู่ในชั้นข้อมูลเชิงพื้นที่ผ่าน รหัสเฉพาะ (ID) หรือ Primary Key เพื่อให้สามารถวิเคราะห์และแสดงผลร่วมกับแผนที่ได้
บทสรุป
ข้อมูลในระบบ GIS จำเป็นต้องมีความถูกต้องและสามารถบูรณาการกันได้ทั้งในมิติของ ตำแหน่ง และ คุณลักษณะ ข้อมูลทั้งสองประเภทคือ Spatial Data และ Non-Spatial Data มีความสัมพันธ์กันโดยตรง และเป็นพื้นฐานในการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ที่ซับซ้อน เช่น การประเมินการใช้ที่ดิน การวางแผนการพัฒนา หรือการจัดการภัยพิบัติ
การเข้าใจประเภทข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถใช้ระบบ GIS ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และสามารถต่อยอดไปสู่การวิเคราะห์ทางภูมิศาสตร์ในระดับที่ลึกซึ้งขึ้น