16, เม.ย. 2010
บทที่ 4 : 4.3การนำเข้าข้อมูลเชิงคุณลักษณะ

บทที่ ๔ โครงสร้างและการนำเข้าข้อมูลในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์

(GIS Structure and Data Input)

๔.๓ การนำเข้าข้อมูลเชิงคุณลักษณะ (Attribute Data Input)

ข้อมูลเชิงคุณลักษณะ (Attribute Data) หรือ ข้อมูลที่ไม่อิงตำแหน่งทางภูมิศาสตร์โดยตรง คือข้อมูลที่อธิบาย คุณลักษณะเฉพาะ ของเอนติตี้ทางพื้นที่ (Spatial Entities) ในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ เช่น ประเภทถนน, ความกว้าง, วัสดุพื้นผิว, ปีที่ก่อสร้าง, หรือจำนวนประชากรในแต่ละเขตการปกครอง เป็นต้น

ในการนำเข้าข้อมูลเชิงคุณลักษณะ ผู้ใช้งานจะต้องสร้างตารางข้อมูล (Attribute Table) ขึ้นแยกจากข้อมูลเชิงพื้นที่ โดยกำหนด รหัสประจำเอนติตี้ (Entity Identifier หรือ ID) ให้สอดคล้องกับฟีเจอร์ที่ปรากฏอยู่ในแผนที่ เช่น เส้นถนน, จุดแยก, หรือพื้นที่เขตการปกครอง ข้อมูลเหล่านี้สามารถแสดงผลร่วมกับแผนที่ในรูปของ สี, สัญลักษณ์, หรือ ป้ายข้อมูล ได้ตามหลักแผนที่วิทยา

ตัวอย่างเช่น หากมีเส้นถนนแสดงอยู่ในแผนที่ ผู้ใช้สามารถระบุข้อมูลเชิงคุณลักษณะของถนนเส้นนั้นได้ เช่น ความกว้างของถนน, ความหนาของชั้นซีเมนต์, ชนิดวัสดุพื้นผิว, วันเริ่มและสิ้นสุดการก่อสร้าง, ตำแหน่งของสี่แยกหรือสัญญาณไฟจราจร ฯลฯ โดยที่ข้อมูลเหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องรวมอยู่ในชั้นข้อมูลเชิงพื้นที่โดยตรง แต่สามารถจัดเก็บในตารางแยกต่างหากและเชื่อมโยงผ่าน รหัสเชื่อมโยง (Join Field) ได้

หากข้อมูลเชิงพื้นที่เป็นพื้นที่ปกครอง เช่น ตำบลหรืออำเภอ ผู้ใช้อาจระบุข้อมูลเชิงคุณลักษณะเพิ่มเติมได้ เช่น จำนวนประชากร, รายได้เฉลี่ย, อัตราการรู้หนังสือ, หรือ ระดับความเสี่ยงภัยพิบัติ เป็นต้น เพื่อใช้ในการวิเคราะห์หรือสร้างแผนที่เชิงเปรียบเทียบ

ดังแสดงในภาพที่ 4.8 การนำเข้าข้อมูลเชิงคุณลักษณะ


๔.๒.๓ การเชื่อมโยงข้อมูลเชิงพื้นที่กับข้อมูลเชิงคุณลักษณะ (Spatial–Attribute Linking)

การจัดการข้อมูลในระบบ GIS ไม่สมบูรณ์หากปราศจากการเชื่อมโยงระหว่าง ข้อมูลเชิงพื้นที่ กับ ข้อมูลเชิงคุณลักษณะ โดยการเชื่อมโยงนี้กระทำผ่าน รหัสประจำตัวของแต่ละเอนติตี้ (Primary Key) ซึ่งทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างแผนที่กับตารางข้อมูล

ในการใช้งานจริง เมื่อมีการดิจิไทซ์รูปเรขาคณิต เช่น จุด, เส้น, หรือ โพลีกอน จะต้องกำหนด รหัสประจำตำแหน่ง (ID) ให้กับแต่ละฟีเจอร์เพื่อใช้เชื่อมกับข้อมูลเชิงคุณลักษณะ การเชื่อมข้อมูลสามารถทำได้ทั้งในรูปแบบ การเชื่อมต่อชั่วคราว (Join) หรือ การเชื่อมแบบถาวร (Relate / Merge) ซึ่งขึ้นอยู่กับลักษณะของการวิเคราะห์และขนาดของฐานข้อมูล

นอกจากนี้ ในระบบ GIS สมัยใหม่สามารถสร้าง ตารางข้อมูลเชิงอธิบาย (Attribute Tables) ได้หลายชุดสำหรับแต่ละประเภทของฟีเจอร์ เช่น ตารางถนน ตารางโรงเรียน ตารางหน่วยบริการสาธารณสุข ซึ่งจะต้องมีการออกแบบตามหลัก การออกแบบฐานข้อมูล (Database Design) เพื่อให้สามารถจัดเก็บ สืบค้น และวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เมื่อมีการเชื่อมโยงข้อมูลอย่างถูกต้อง ผู้ใช้สามารถดำเนินการ สืบค้น (Query), วิเคราะห์ทางสถิติ (Statistical Analysis) หรือ สร้างแบบจำลองเชิงพื้นที่ (Spatial Modeling) ได้อย่างแม่นยำและยืดหยุ่น โดยต้องคำนึงว่า การเพิ่มข้อมูลเชิงคุณลักษณะมากขึ้นจะทำให้ขนาดของฐานข้อมูลเพิ่มขึ้นตามไปด้วย จึงควรมีระบบจัดการและทวนสอบคุณภาพข้อมูลอย่างเป็นระบบ

ดังแสดงในภาพที่ 4.9 การเชื่อมโยงข้อมูลเชิงพื้นที่ร่วมกับข้อมูลเชิงคุณลักษณะ


🔍 บทสรุปเชิงวิเคราะห์

ข้อมูลเชิงคุณลักษณะ ทำหน้าที่ขยายความหมายและเพิ่มบริบทให้กับ ข้อมูลเชิงพื้นที่ โดยการแยกจัดเก็บและเชื่อมโยงข้อมูลทั้งสองประเภทอย่างเป็นระบบ จะช่วยให้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์มีความยืดหยุ่น มีศักยภาพในการวิเคราะห์ และรองรับการใช้ข้อมูลในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็น การตัดสินใจเชิงนโยบาย, การวางแผนผังเมือง, หรือ การจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน

การนำเข้าข้อมูลเชิงคุณลักษณะ (Attribute Data Input) ในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเพิ่มมิติของความหมายให้แก่ข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial Data) โดยมีเป้าหมายเพื่อให้สามารถวิเคราะห์ สืบค้น และแสดงผลข้อมูลอย่างถูกต้อง ชัดเจน และมีบริบททางกายภาพที่สัมพันธ์กับสถานที่จริง

การดำเนินการนำเข้าข้อมูลเชิงคุณลักษณะสามารถสรุปเป็นลำดับขั้นตอนเชิงวิชาการได้ดังต่อไปนี้:


🧭 ขั้นตอนการนำเข้าข้อมูลเชิงคุณลักษณะในระบบ GIS

ขั้นตอนที่ 1: การเตรียมข้อมูล (Data Preparation)

ในขั้นแรก ผู้ปฏิบัติงานต้องจัดเตรียม ตารางข้อมูลเชิงคุณลักษณะ (Attribute Table) ให้อยู่ในรูปแบบที่เหมาะสม เช่น .csv, .xlsx, .dbf หรือ .txt โดยตารางควรมีโครงสร้างที่ชัดเจน ประกอบด้วย:

  • Primary Key: รหัสเฉพาะที่ใช้เชื่อมโยงกับข้อมูลเชิงพื้นที่ (เช่น Polygon_ID, Line_ID)
  • Attribute Fields: คอลัมน์ที่อธิบายคุณลักษณะ เช่น LandUse, Population, Road_Type, Elevation เป็นต้น
  • ค่าข้อมูล: ต้องไม่มีช่องว่างหรือข้อมูลผิดรูปแบบ (Missing / Inconsistent Data)

✳️ ตัวอย่าง: ตารางการใช้ประโยชน์ที่ดินควรมีรหัสพื้นที่ (ID), ชนิดที่ดิน, เนื้อที่ (ไร่) และชื่อหมู่บ้าน


ขั้นตอนที่ 2: การนำเข้าตารางสู่โปรแกรม GIS (Import Attribute Table)

ในโปรแกรม GIS เช่น QGIS หรือ ArcGIS, ตารางข้อมูลสามารถนำเข้าได้โดยใช้คำสั่ง:

  • QGIS: Layer > Add Layer > Add Delimited Text Layer
  • ArcGIS: Add Data > Add Table

โดยต้องกำหนด encoding และ delimiter ให้สอดคล้องกับรูปแบบของตาราง เช่น เครื่องหมายคอมมา (,) หรือแท็บ (Tab)


ขั้นตอนที่ 3: การตรวจสอบโครงสร้างและรูปแบบข้อมูล (Schema Validation)

หลังการนำเข้า ควรตรวจสอบว่า:

  • ชื่อฟิลด์ไม่มีอักขระพิเศษและความยาวไม่เกินเกณฑ์ (เช่น .dbf จำกัดไม่เกิน 10 ตัวอักษร)
  • ประเภทข้อมูลตรงกับค่าที่เก็บ (เช่น ฟิลด์ Population เป็นตัวเลข ไม่ใช่ข้อความ)
  • ข้อมูลไม่มีค่าซ้ำในฟิลด์ที่ใช้เป็น Primary Key

ขั้นตอนที่ 4: การเชื่อมโยงกับข้อมูลเชิงพื้นที่ (Join or Relate Spatial Features)

ใช้คำสั่ง Join Attribute by Field Value หรือ Relate Table โดยกำหนด:

  • Field จากข้อมูลเวกเตอร์ (เช่น Zone_ID จากแผนที่ขอบเขตอำเภอ)
  • Field จากตารางคุณลักษณะ ที่ตรงกัน (เช่น Zone_ID จากตารางประชากร)

ระบบจะทำการเชื่อมโยงระหว่างชิ้นข้อมูลเชิงพื้นที่แต่ละชิ้นกับค่าคุณลักษณะที่เกี่ยวข้อง


ขั้นตอนที่ 5: การตรวจสอบผลการเชื่อมโยง (Attribute Link Verification)

ควรตรวจสอบความถูกต้องของการเชื่อมโยงโดยการ:

  • คลิกดูคุณลักษณะ (Identify Tool) ในแต่ละฟีเจอร์
  • ใช้คำสั่ง Select by Attribute ตรวจสอบเงื่อนไข เช่น Population > 10,000
  • สร้างแผนที่ thematic (Symbology) เพื่อตรวจความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่กับคุณลักษณะ เช่น พื้นที่ที่รายได้เฉลี่ยสูง

ขั้นตอนที่ 6: การบันทึกผลลัพธ์และการจัดการข้อมูล (Save and Manage Joined Data)

การเชื่อมโยงข้อมูลสามารถทำได้ทั้งแบบ:

  • ชั่วคราว (Temporary Join): ไม่กระทบไฟล์ต้นฉบับ
  • ถาวร (Permanent Join): โดยใช้คำสั่ง Export Layer with Joined Attribute

ข้อมูลที่เชื่อมโยงเสร็จแล้วสามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์ต่อ เช่น Spatial Query, Statistical Summary, หรือ Raster Conversion


📌 บทสรุป

การนำเข้าข้อมูลเชิงคุณลักษณะในระบบ GIS เป็นกระบวนการที่มีขั้นตอนชัดเจน ตั้งแต่การเตรียมข้อมูล การนำเข้า การเชื่อมโยง ไปจนถึงการตรวจสอบและใช้งาน ซึ่งล้วนต้องอาศัยหลักการด้าน การออกแบบฐานข้อมูล (Database Design) และ ความรู้ด้านโครงสร้างข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial Data Schema) อย่างถูกต้อง เพื่อให้การวิเคราะห์และตัดสินใจเชิงพื้นที่มีประสิทธิภาพและเชื่อถือได้

Template ตารางข้อมูลเชิงคุณลักษณะมาตรฐาน (Standard Attribute Table Template) ซึ่งสามารถนำไปใช้กับข้อมูลเชิงพื้นที่ประเภท จุด (Point), เส้น (Line) หรือ พื้นที่ (Polygon) ได้อย่างยืดหยุ่น โดยปรับให้เหมาะกับการเรียนการสอน การวิเคราะห์ข้อมูล และการจัดทำฐานข้อมูลในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS)


📋 ตารางข้อมูลเชิงคุณลักษณะมาตรฐาน (Attribute Table Template)

Field NameData Typeความหมาย / คำอธิบายตัวอย่างข้อมูล
Feature_IDIntegerรหัสเฉพาะของแต่ละฟีเจอร์ (Primary Key) ใช้เชื่อมโยงกับข้อมูลเชิงพื้นที่001, 002, 003
Feature_NameText (100)ชื่อสถานที่หรือฟีเจอร์ เช่น ชื่อหมู่บ้าน อ่างเก็บน้ำ ชื่อโรงเรียนบ้านสันป่าตอง, คลองแม่ปิง
Feature_TypeText (50)ประเภทของฟีเจอร์ เช่น ถนน, ป่าไม้, แหล่งน้ำ, โรงเรียนป่าเบญจพรรณ, ทางหลวง, อ่างเก็บน้ำ
Area_SqmDoubleพื้นที่เป็นตารางเมตร (สำหรับ Polygon) หรือความยาว (Line)150000.00
PopulationIntegerจำนวนประชากรในพื้นที่นั้น (หากเป็นพื้นที่เขตปกครอง)2456
LandUse_CodeText (10)รหัสประเภทการใช้ที่ดิน ตามเกณฑ์กรมที่ดิน / ทส. หรือโครงการที่ใช้A1, F2, R1
LandUse_DescText (100)คำอธิบายประเภทการใช้ที่ดินพื้นที่เกษตรกรรม, พื้นที่ชุมชน
Construction_YearIntegerปีที่ก่อสร้าง (ถ้ามี)2015
StatusText (20)สถานะของฟีเจอร์ เช่น ใช้งาน, ปิดชั่วคราว, อยู่ระหว่างก่อสร้างใช้งาน, ปิดถาวร
RemarkText (255)หมายเหตุเพิ่มเติม หรือคำอธิบายพิเศษติดเขตอุทยานแห่งชาติ

🛠️ แนวทางการใช้งาน

  • Field Feature_ID: ต้องไม่ซ้ำกัน ใช้เป็น Primary Key เพื่อ Join กับข้อมูลเชิงพื้นที่
  • Field LandUse_Code และ LandUse_Desc: เหมาะกับการใช้ร่วมกับ Symbology ในแผนที่ธีม
  • Field Area_Sqm หรือ Population: ใช้ใน การวิเคราะห์เชิงปริมาณ (Quantitative Analysis) เช่น Density หรือ Zoning
  • สามารถเพิ่มฟิลด์เพิ่มเติมได้ตามบริบท เช่น Soil_Type, NDVI, Flood_Risk, School_Level เป็นต้น

📦 รูปแบบไฟล์สำหรับใช้งานในระบบ GIS

SoftwareFile Formatคำอธิบาย
QGIS.csv, .xlsx, .dbfใช้ Add Layer > Add Delimited Text หรือเชื่อมกับ Shapefile
ArcGIS.dbf, .csv, .xlsเชื่อมกับ Shapefile หรือ Feature Class ผ่าน Join Field

📌 บทสรุปเชิงวิชาการ

การใช้ Template ตารางคุณลักษณะมาตรฐาน จะช่วยให้:

  • ลดข้อผิดพลาดในการจัดเก็บข้อมูล
  • เพิ่มความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลร่วมกับข้อมูลเชิงพื้นที่
  • สามารถขยายการใช้งานในรูปแบบฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational GIS Database) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตัวอย่างการเชื่อมข้อมูลเชิงคุณลักษณะกับข้อมูลเชิงพื้นที่ในระดับ “หมู่บ้าน” หรือ “อำเภอ” ในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) ซึ่งเหมาะสำหรับการประยุกต์ในงานด้าน การวางแผนพัฒนาท้องถิ่น, การวิเคราะห์ประชากร, สาธารณสุข, หรือ ทรัพยากรธรรมชาติ โดยใช้หลักการ Join Table ระหว่างชั้นข้อมูลเชิงพื้นที่ (Shapefile) กับตารางข้อมูลภายนอก (Attribute Table)


🗺️ 1. บริบทของการใช้งาน

ในกรณีที่เรามี แผนที่ขอบเขตหมู่บ้านหรืออำเภอ (Administrative Boundary: Polygon) และมี ตารางข้อมูลประชากรหรือดัชนีคุณภาพชีวิต อยู่ในรูปแบบ .csv หรือ .xlsx เราสามารถเชื่อมข้อมูลดังกล่าวเพื่อ:

  • วิเคราะห์ความหนาแน่นประชากรในแต่ละพื้นที่
  • สร้างแผนที่ thematic แสดงระดับรายได้เฉลี่ย / ความเสี่ยงด้านสุขภาพ
  • ประเมินพื้นที่ที่ต้องการสาธารณูปโภคเพิ่มเติม

🗂️ 2. ตัวอย่างตารางข้อมูลเชิงคุณลักษณะ (เชื่อมระดับหมู่บ้าน)

plaintextCopyEditFile: Population_Moo_Ban.csv
Village_IDVillage_NameSubdistrictDistrictPopulationHouseholdsIncome_AvgRisk_Flood
MB0101บ้านหนองยางทุ่งหลวงลี้5821378210สูง
MB0102บ้านห้วยทรายทุ่งหลวงลี้411987040ปานกลาง
MB0103บ้านใหม่สามัคคีทุ่งหลวงลี้7381528995ต่ำ

🧩 3. ชั้นข้อมูลเชิงพื้นที่ (Shapefile)

plaintextCopyEditFile: Moo_Ban_Boundary.shp
Village_IDGeometry (Polygon)
MB0101
MB0102
MB0103

🔗 4. วิธีการเชื่อมข้อมูล (Join Process)

🔹 QGIS:

  • เปิด Moo_Ban_Boundary.shp ใน QGIS
  • ไปที่ Layer Properties > Joins
  • กด Add Join โดยเลือก:
    • Join layer: Population_Moo_Ban.csv
    • Join field: Village_ID
    • Target field: Village_ID
  • คลิก OK และ Apply

🔹 ArcGIS:

  • คลิกขวา Moo_Ban_Boundary > Joins and Relates > Join
  • Join field: Village_ID
  • Table to join: Population_Moo_Ban.csv
  • Field in table: Village_ID
  • เลือก keep all records แล้ว OK

🎯 5. ผลลัพธ์หลังการเชื่อมโยง

ตารางของชั้นข้อมูลเชิงพื้นที่จะมีคอลัมน์เพิ่มเติมจากตารางคุณลักษณะ เช่น:

Village_IDGeometryPopulationIncome_AvgRisk_Flood
MB0101Polygon5828210สูง
MB0102Polygon4117040ปานกลาง

ข้อมูลนี้สามารถนำไปใช้ใน:

  • การสร้าง แผนที่เชิงธีม (Thematic Map) เช่น แสดงระดับรายได้หรือความเสี่ยงน้ำท่วม
  • การใช้ Spatial Query เช่น “แสดงเฉพาะหมู่บ้านที่ประชากร > 700”
  • การวิเคราะห์ Multi-Criteria Decision Making (MCDM) เช่น การจัดลำดับความเสี่ยงในเชิงพื้นที่

📌 บทสรุป

การเชื่อมข้อมูลในระดับหมู่บ้านหรืออำเภอเป็นการประยุกต์ใช้ระบบ GIS ที่ช่วยเพิ่มศักยภาพในการ:

  • บูรณาการข้อมูลภาครัฐหลายหน่วยงาน เช่น สำนักทะเบียน, สำนักงานสถิติแห่งชาติ, กรมป้องกันภัยฯ
  • วิเคราะห์ปัญหาในเชิงพื้นที่ได้อย่างแม่นยำ
  • ส่งเสริมการตัดสินใจแบบมีข้อมูลรองรับ (Evidence-Based Decision Making)

กรณีศึกษาจริงจากหน่วยงานของรัฐในประเทศไทยที่มีการนำระบบ สารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) ไปเชื่อมโยง ข้อมูลเชิงคุณลักษณะในระดับหมู่บ้าน/อำเภอ เพื่อการวิเคราะห์และวางแผนพัฒนาเชิงพื้นที่ มีอยู่หลายกรณีที่โดดเด่นในด้านนโยบายและการใช้งานภาคปฏิบัติ โดยเฉพาะจากหน่วยงานหลัก เช่น สปสช., กรมการพัฒนาชุมชน (พช.), กรมทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.), และ กรมป่าไม้


🏥 กรณีศึกษา: สปสช. (สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ)

ชื่อโครงการ: ระบบแผนที่บริการสุขภาพระดับหมู่บ้าน (Primary Care GIS)

วัตถุประสงค์:

  • จัดทำ ฐานข้อมูลแผนที่หมู่บ้านและหน่วยบริการสุขภาพ
  • เชื่อมข้อมูล ทะเบียนประชากร, โรคเรื้อรัง, พฤติกรรมสุขภาพ กับแผนที่ขอบเขตหมู่บ้าน
  • วิเคราะห์ความครอบคลุมของการให้บริการ เช่น ระยะห่างจากสถานีอนามัย หรือ คลินิกอบอุ่น

ตัวอย่างการใช้:

  • เชื่อม Village_ID กับตารางประชากรโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดัน
  • วิเคราะห์ อัตราครอบคลุมการเยี่ยมบ้านผู้ป่วยติดเตียง รายอำเภอ
  • แสดงผลเป็นแผนที่ thematic ด้วย QGIS

ข้อมูลที่ใช้:

  • Shapefile ขอบเขตหมู่บ้านจากกระทรวงมหาดไทย
  • ตารางประชากรจากฐานข้อมูล HDC (Health Data Center)
  • ข้อมูลบริการจากโปรแกรม HosXP / JHCIS

🏘️ กรณีศึกษา: พช. (กรมการพัฒนาชุมชน)

โครงการ: ระบบ GIS เพื่อการวางแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบล (พชต.)

วัตถุประสงค์:

  • เชื่อมข้อมูล ดัชนีความยากจน (MPI) กับตำบล/หมู่บ้าน
  • วิเคราะห์จุดเสี่ยงของความเปราะบาง เช่น บ้านไม่มีห้องน้ำ, เด็กหลุดจากระบบการศึกษา
  • สนับสนุนการใช้ ข้อมูลเพื่อขับเคลื่อนเป้าหมาย SDGs ระดับพื้นที่

ตัวอย่างการใช้:

  • เชื่อม Tambon_ID กับข้อมูลดัชนี MPI ใน Excel
  • วิเคราะห์ความต้องการบ้านเรือนใหม่หรืองบประมาณพัฒนา
  • จัดทำ แผนที่ความยากจน (Poverty Atlas) เพื่อเสนอผู้ว่าราชการจังหวัด

เครื่องมือ:

  • โปรแกรม QGIS + PostgreSQL + Dashboard จากกรมพัฒนาชุมชน
  • ใช้ WebGIS เพื่อสื่อสารผลต่อคณะกรรมการตำบล

🌿 กรณีศึกษา: ทส. (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)

โครงการ: ระบบติดตามพื้นที่เสื่อมโทรมระดับตำบล (Land Degradation Monitoring System)

วัตถุประสงค์:

  • ตรวจสอบและเฝ้าระวัง พื้นที่ป่าถูกบุกรุก, ดินเสื่อมคุณภาพ, แหล่งน้ำตื้นเขิน
  • เชื่อมข้อมูลพื้นที่กับ ดัชนีความเสี่ยงสิ่งแวดล้อม และ แบบสำรวจภาคสนาม

ตัวอย่างการใช้:

  • เชื่อม Moo_Ban_ID กับข้อมูลชั้นดิน ความลาดชัน, การใช้ที่ดิน
  • วิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงต่อภัยพิบัติจากการใช้ทรัพยากรไม่เหมาะสม
  • พัฒนา แผนที่หน่วยฟื้นฟูลุ่มน้ำและการอนุรักษ์ดิน

ระบบที่ใช้:

  • ArcGIS Online, Web Feature Service (WFS) เชื่อมกับกรมอุทกศาสตร์
  • ฐานข้อมูลจาก OneMap, LDD และกรมป่าไม้

🌲 กรณีศึกษา: กรมป่าไม้

โครงการ: ระบบข้อมูลป่าไม้ระดับหมู่บ้าน (Forest GIS for Local Monitoring)

วัตถุประสงค์:

  • เชื่อมข้อมูล พื้นที่ป่า, แนวเขตป่าสงวน, กับ ข้อมูลสิทธิที่ดินของชุมชน
  • สนับสนุน การแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่า และการจัดทำ ป่าชุมชน

ตัวอย่างการใช้:

  • เชื่อม Village_ID กับข้อมูลประชากรและการถือครองที่ดินจากแบบสำรวจ
  • วิเคราะห์ว่าแต่ละหมู่บ้านมีป่าชุมชนหรือไม่ มีแนวเขตทับซ้อนกับป่าสงวนแค่ไหน
  • แสดงแผนที่แนวเขตป่าทับซ้อนกับสิทธิ ส.ป.ก. หรือเอกสาร นส.3

รูปแบบข้อมูล:

  • Layer: ขอบเขตป่าสงวนแห่งชาติ (.shp), ข้อมูลสิทธิ์ที่ดิน (.dbf)
  • ตารางเสริม: การมีส่วนร่วมของชุมชน, การใช้ประโยชน์ป่า, ค่าดัชนีความหลากหลายทางชีวภาพ

📌 สรุปเชิงวิชาการ

การประยุกต์ GIS ในระดับหมู่บ้านหรืออำเภอของหน่วยงานต่าง ๆ ข้างต้น แสดงให้เห็นว่า:

  • การเชื่อมข้อมูลเชิงคุณลักษณะกับพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ ช่วยให้สามารถวิเคราะห์ ปรับแผน และตัดสินใจได้แม่นยำขึ้น
  • การใช้รหัสพื้นที่ร่วม (เช่น Village_ID, Tambon_ID) ทำให้ข้อมูลจากหลายแหล่งสามารถรวมกันเป็นฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์
  • รองรับ การวิเคราะห์ทางนโยบาย เช่น การจัดสรรงบประมาณเป้าหมาย, การชี้จุดเปราะบาง, และการจัดการสิ่งแวดล้อมแบบบูรณาการ

ใส่ความเห็น

Related Posts