2, ก.ย. 2024
GEOSPATIAL TECHNOLOGY FOR FLOOD MONITORING

GEOSPATIAL TECHNOLOGY FOR FLOOD MONITORING

การติดตามพื้นที่น้ำท่วมด้วยเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ

การเกิดน้ำท่วมเป็นภัยพิบัติที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งและส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจ สังคม และระบบนิเวศของพื้นที่เสี่ยง การใช้ เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ (Geospatial Technology) ในการติดตามและจัดการน้ำท่วมได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการลดความเสียหายและเสริมสร้างระบบเตือนภัยล่วงหน้า โดยการบูรณาการข้อมูลจากหลายแหล่งในมิติเชิงพื้นที่และเชิงเวลา


1. ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS)

GIS มีบทบาทสำคัญในการจัดเก็บ ข้อมูลเชิงพื้นที่ของพื้นที่น้ำท่วม เช่น ขอบเขตน้ำท่วม จุดสำคัญทางโครงสร้างพื้นฐาน และแหล่งที่อยู่อาศัยที่ได้รับผลกระทบ การวิเคราะห์เชิงพื้นที่ ด้วย GIS ช่วยในการระบุพื้นที่เสี่ยง ซ้ำซ้อนกับแบบจำลองภูมิประเทศ (Digital Elevation Model: DEM) และ วางแผนการอพยพหรือการกระจายทรัพยากรในภาวะฉุกเฉิน การประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่ด้วย ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) ร่วมกับข้อมูลปัจจัยต่างๆ เช่น ปริมาณน้ำฝน, แบบจำลองความสูงเชิงตัวเลข (Digital Elevation Model: DEM), โครงข่ายลำน้ำ และพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากจากภาพถ่ายดาวเทียม ช่วยให้สามารถสร้างแผนที่พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมในรูปแบบ Story Map ที่เข้าใจง่ายและเข้าถึงได้ทันที


2. การสำรวจระยะไกล (Remote Sensing)

Remote Sensing สนับสนุนการติดตามสถานการณ์น้ำท่วมจากระยะไกล โดยใช้ข้อมูลจาก ดาวเทียมเช่น Sentinel-1, RADARSAT หรือ MODIS ซึ่งสามารถถ่ายภาพได้แม้ในสภาพเมฆหนา โดยเฉพาะเรดาร์ที่สามารถตรวจจับน้ำท่วมได้แม่นยำ ภาพเปรียบเทียบก่อน–หลังน้ำท่วม (pre-flood/post-flood imagery) สามารถประมวลผลเพื่อระบุการเปลี่ยนแปลงพื้นที่แบบอัตโนมัติ (Change Detection) การใช้ข้อมูลจาก ดาวเทียมเรดาร์แบบ SAR (Synthetic Aperture Radar) ช่วยตรวจจับความเปลี่ยนแปลงของพื้นที่น้ำท่วมได้แม้ในสภาพอากาศที่มีเมฆปกคลุม โดยเฉพาะในช่วงคลื่น C-Band ที่มีความยาวคลื่น 3.8-7.5 เซนติเมตร ซึ่งสามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างพื้นดินกับน้ำท่วมได้อย่างชัดเจน


3. การสำรวจระยะใกล้ (Proximal Sensing)

Proximal Sensing ใช้ เซนเซอร์ในพื้นที่ ที่ติดตั้งในระดับชุมชน เช่น เซนเซอร์วัดระดับน้ำอัตโนมัติ, ความเร็วกระแสน้ำ หรือฝนตกสะสม ซึ่งเชื่อมโยงกับระบบ Internet of Things (IoT) เพื่อส่งข้อมูลเรียลไทม์สู่ฐานข้อมูลกลาง ข้อมูลเหล่านี้เสริมความแม่นยำให้กับแบบจำลองน้ำท่วมแบบทันสถานการณ์ แพลตฟอร์มจัดการภัยพิบัติที่บูรณาการข้อมูลจาก อุปกรณ์ IoT เซนเซอร์ และ กล้องวงจรปิด (CCTV) ช่วยให้การติดตามสถานการณ์น้ำท่วมเป็นแบบเรียลไทม์ (Real-time) และสามารถประเมินสถานการณ์ได้อย่างแม่นยำ ส่งผลให้หน่วยงานท้องถิ่นสามารถวางแผนและตอบสนองต่อเหตุการณ์น้ำท่วมได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิผล


4. ระบบกำหนดตำแหน่งบนพื้นโลก (GPS/GNSS)

GPS/GNSS ใช้ในการกำหนดพิกัดของ ขอบเขตน้ำท่วม, จุดวัดภาคสนาม และตำแหน่งกล้องหรือเซนเซอร์ ที่ติดตั้งไว้ในพื้นที่ ซึ่งมีความจำเป็นในการวิเคราะห์เชิงแผนที่และสำหรับการเชื่อมโยงกับภาพถ่ายดาวเทียมหรือข้อมูล GIS อื่น ๆ เพื่อให้ได้ แผนที่น้ำท่วมที่แม่นยำและมีความละเอียดสูง


การบูรณาการเพื่อระบบเตือนภัย

เมื่อเทคโนโลยีทั้ง 4 ถูกบูรณาการร่วมกัน จะสามารถพัฒนา ระบบเตือนภัยน้ำท่วมล่วงหน้า (Flood Early Warning System) ที่อิงจาก ข้อมูลจริง (empirical data) และ แบบจำลองทางอุทกวิทยา (hydrological modeling) โดยระบบสามารถส่งข้อมูลสู่หน่วยงานและชุมชนผ่าน แผนที่ออนไลน์ (Web GIS) หรือ แอปพลิเคชันบนมือถือ

สถานการณ์ฝนตกหนักและน้ำท่วมฉับพลันในภาคเหนือของประเทศไทย เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2567

บทวิเคราะห์เชิงอุตุนิยมวิทยาและภูมิประเทศ

บทนำ

ในช่วงกลางถึงปลายเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2567 ภาคเหนือของประเทศไทยประสบกับเหตุการณ์ฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลจากปัจจัยทางอุตุนิยมวิทยา ได้แก่ ร่องมรสุมที่พาดผ่านภาคเหนือ และ มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่มีกำลังแรง ซึ่งส่งผลให้ปริมาณฝนสะสมในพื้นที่ภูเขาสูงและลุ่มน้ำหลักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นำไปสู่สถานการณ์ น้ำท่วมฉับพลัน (flash flood) และ น้ำป่าไหลหลาก (runoff flood) ในหลายพื้นที่


1. ปัจจัยสาเหตุและบริบททางอุตุนิยมวิทยา

ตั้งแต่วันที่ 14 สิงหาคม 2567 เป็นต้นมา ร่องมรสุม (monsoon trough) ได้เคลื่อนผ่านบริเวณตอนบนของภาคเหนือของประเทศไทย ร่วมกับลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่มีกำลังแรงกว่าปกติ ทำให้เกิดฝนตกเกือบทุกวันในพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะใน ช่วงวันที่ 17–21 สิงหาคม ซึ่งมีรายงาน ฝนตกหนักถึงหนักมาก (Heavy to Very Heavy Rainfall) อย่างต่อเนื่อง โดยพื้นที่ได้รับผลกระทบหลักได้แก่:

  • จังหวัด แม่ฮ่องสอน, เชียงใหม่, เชียงราย, ลำปาง, พะเยา, น่าน
  • จังหวัดตอนล่างของภาคเหนือ เช่น ตาก, สุโขทัย, อุตรดิตถ์, พิษณุโลก, และ เพชรบูรณ์

ตามรายงานของกรมอุตุนิยมวิทยาในวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2567 พบว่า มีฝนฟ้าคะนองครอบคลุมร้อยละ 70 ของพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะบริเวณที่มีภูมิประเทศลาดชันและที่ราบลุ่มต่ำที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภัยพิบัติ


2. ลักษณะภูมิประเทศและความเปราะบางทางกายภาพ

พื้นที่ภูเขาสูงและลาดเชิงเขาในภาคเหนือ เช่น อำเภอสะเมิง อำเภอแม่แจ่ม (เชียงใหม่) และอำเภอปง (พะเยา) มีลักษณะการระบายน้ำที่รวดเร็วและเสี่ยงต่อการเกิด น้ำป่าไหลหลาก เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ ฝนสะสมเกิน 100 มิลลิเมตรภายใน 24 ชั่วโมง

นอกจากนี้ ลุ่มน้ำหลัก เช่น ลุ่มน้ำปิง วัง ยม และน่าน เป็นระบบรับน้ำจากพื้นที่ภูเขาสูง ซึ่งหากมีฝนตกต่อเนื่องจะทำให้เกิดการ ไหลบ่าของน้ำจำนวนมาก สู่พื้นที่ลุ่ม ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันในพื้นที่ชุมชนหรือเขตเศรษฐกิจ


3. การตอบสนองและการแจ้งเตือน

หน่วยงานด้านอุตุนิยมวิทยา ได้แก่ ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคเหนือ และ กรมอุตุนิยมวิทยา ได้ออกประกาศเตือนภัยในระดับ เฝ้าระวังขั้นสูง โดยระบุชัดเจนถึงความเสี่ยงของพื้นที่ลาดเชิงเขาและลุ่มน้ำสาขา พร้อมทั้งแนะนำให้ประชาชนเตรียมพร้อมอพยพและหลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่เสี่ยง

การแจ้งเตือนผ่านช่องทางวิทยุกระจายเสียง โทรศัพท์มือถือ และระบบสารสนเทศท้องถิ่น (เช่น แพลตฟอร์ม Line หรือ Facebook ของเทศบาล) เป็นกลไกที่ช่วยลดความสูญเสียทั้งในชีวิตและทรัพย์สินได้อย่างมีนัยสำคัญ


4. ข้อเสนอเชิงนโยบายและการเฝ้าระวังต่อเนื่อง

  • ควรมีการติดตั้งระบบ Proximal Sensing เพื่อตรวจวัดระดับน้ำและฝนสะสมในพื้นที่ลุ่มและเชิงเขา
  • เสริมระบบ Web GIS และแผนที่น้ำท่วมแบบเรียลไทม์ ที่เชื่อมโยงกับข้อมูลจาก ภาพดาวเทียม (เช่น Sentinel-1 SAR) และ GPS ภาคสนาม
  • พัฒนา แบบจำลองคาดการณ์น้ำหลากระยะสั้น (Short-Term Flood Forecasting) เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงข้อมูลความเสี่ยงได้

สรุป

เหตุการณ์ฝนตกหนักและฝนสะสมต่อเนื่องในช่วงกลางถึงปลายเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2567 ในภาคเหนือของประเทศไทย เป็นผลโดยตรงจากอิทธิพลของร่องมรสุมและมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบรุนแรงทั้งทางกายภาพและเศรษฐกิจในหลายพื้นที่ การเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด การพัฒนาเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศเชิงพื้นที่ และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดผลกระทบและฟื้นฟูในระยะยาว

การติดตามพื้นที่น้ำท่วมด้วยเทคโนโลยี Geospatial เป็นการผสมผสานระหว่างข้อมูลดาวเทียม, GIS, IoT, และระบบภาพถ่ายวงจรปิด เพื่อสร้างระบบเฝ้าระวังและประเมินสถานการณ์น้ำท่วมที่มีความแม่นยำและทันเวลา ช่วยให้หน่วยงานภาครัฐและประชาชนสามารถเตรียมพร้อมและตอบสนองต่อภัยน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสียหายและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

source: https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%81%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2_%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2567

ใส่ความเห็น

Related Posts