22, เม.ย. 2017
4 องค์ประกอบในโครงสร้างของเทคโนโลยี Geospatial

4 องค์ประกอบในโครงสร้างของเทคโนโลยี Geospatial

เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศเพื่อการจัดการสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันมิได้จำกัดเพียงระบบ GIS และภาพถ่ายจากดาวเทียมเท่านั้น หากแต่ครอบคลุมถึงการบูรณาการระหว่างระบบต่าง ๆ ที่ทำหน้าที่เสริมข้อมูลเชิงพื้นที่ในมิติต่าง ๆ ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยสามารถจัดกลุ่มได้เป็น 4 องค์ประกอบหลัก ดังนี้:

2.1 ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System: GIS)

GIS เป็นระบบที่ใช้ในการจัดเก็บ จัดการ วิเคราะห์ และแสดงผลข้อมูลเชิงพื้นที่ที่มีความซับซ้อน ทั้งข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยสามารถผนวกข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ และวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ เช่น ความหนาแน่นของประชากรกับการใช้ทรัพยากร การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่า หรือเขตเสี่ยงภัย เป็นต้น GIS ยังสามารถใช้สร้างแบบจำลองเชิงนิเวศหรือการแพร่กระจายของมลพิษ เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบายอย่างมีระบบ

2.2 การสำรวจระยะไกล (Remote Sensing)

เทคโนโลยีการสำรวจระยะไกลโดยใช้ภาพถ่ายดาวเทียมหรือเซนเซอร์ทางอากาศ (เช่น LiDAR, UAV) ช่วยให้สามารถตรวจสอบและติดตามสภาพแวดล้อมในพื้นที่ขนาดใหญ่และเข้าถึงยากได้อย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น การวิเคราะห์ NDVI เพื่อประเมินสุขภาพพืช การตรวจจับการบุกรุกป่าไม้ หรือการติดตามการเปลี่ยนแปลงทางชายฝั่งและระดับน้ำทะเล ทั้งนี้สามารถบูรณาการข้อมูล Remote Sensing เข้ากับ GIS เพื่อสร้างแผนที่เปรียบเทียบในเชิงเวลาและพื้นที่

2.3 การสำรวจภาคสนามด้วยเซนเซอร์ (Proximal Sensing)

Proximal Sensing เป็นแนวทางการตรวจวัดข้อมูลสิ่งแวดล้อมในระดับพื้นที่สนามโดยตรง เช่น การติดตั้งเซนเซอร์ตรวจวัดอุณหภูมิ ความชื้น ฝุ่น PM2.5 หรือคุณภาพน้ำ โดยมักใช้ร่วมกับเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) และ microcontroller เช่น Arduino หรือ Raspberry Pi ที่สามารถเก็บข้อมูลแบบ real-time และส่งต่อสู่ระบบ GIS เพื่อการวิเคราะห์ทันที Proximal Sensing ช่วยเสริมความแม่นยำและความละเอียดของข้อมูลเชิงพื้นที่ในระดับจุลภาค และมีบทบาทสำคัญในการวิจัยชุมชนหรือพื้นที่เฉพาะทาง

2.4 ระบบกำหนดตำแหน่งบนพื้นโลก (Global Positioning System / Global Navigation Satellite Systems: GPS/GNSS)

GPS และระบบ GNSS อื่น ๆ เช่น GLONASS, Galileo, BeiDou ช่วยให้สามารถระบุตำแหน่งของข้อมูลเชิงพื้นที่ได้อย่างแม่นยำในระดับเซนติเมตร (ในกรณีใช้ RTK) ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการเก็บข้อมูลสนาม การทำแผนที่ความเสี่ยง การติดตามการเคลื่อนไหวของพื้นที่ภูเขาไฟ หรือการประเมินขอบเขตพื้นที่ในงานอนุรักษ์ การใช้ GPS ร่วมกับ GIS และ RS ยังเป็นรากฐานในการสร้างระบบติดตามและเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning Systems) ในด้านสิ่งแวดล้อม


ความหมายของ Proximal Sensing

Proximal Sensing คือ

“การสำรวจหรือการวัดข้อมูลโดยใช้เซนเซอร์หรือเครื่องมือวัดที่ติดตั้งในระยะใกล้กับวัตถุหรือพื้นที่เป้าหมาย โดยมักจะอยู่ในระดับภาคสนามหรือระยะที่ไม่ห่างจากพื้นดินมาก เช่น เซนเซอร์ตรวจอากาศที่ติดตั้งบนเสา, ยานพาหนะ, หรืออากาศยานไร้คนขับ (UAV) ระดับต่ำ”

ต่างจาก Remote Sensing ซึ่งใช้เซนเซอร์จากระยะไกล (เช่น ดาวเทียมหรือเครื่องบิน) Proximal Sensing จึงมีข้อได้เปรียบในด้านความละเอียดสูง ความแม่นยำเฉพาะจุด และความสามารถในการเก็บข้อมูลแบบเรียลไทม์ในระดับภาคสนาม


แนวทางการเรียกชื่อในภาษาไทย

แม้ยังไม่มีคำแปลมาตรฐานในราชบัณฑิตยสถาน แต่ในทางวิชาการสามารถใช้คำต่อไปนี้ได้อย่างเหมาะสมในแต่ละบริบท:

คำศัพท์คำแปลหรือคำอธิบายที่แนะนำหมายเหตุ
Proximal Sensingการสำรวจระยะใกล้ หรือ การสำรวจภาคสนามด้วยเซนเซอร์แนะนำในงานวิชาการ
Field-based sensingการตรวจวัดข้อมูลสนามใช้ในกรณีต้องการสื่อถึงการเก็บข้อมูลเฉพาะจุด
In-situ Sensingการวัดในสถานที่จริงใช้ในงานวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม

ตัวอย่างในงานประยุกต์

  • การใช้ IoT sensor ตรวจวัดค่าฝุ่นละออง PM2.5 ติดตั้งบนเสาไฟฟ้าในเมือง → เป็น Proximal Sensing
  • การใช้ NDVI sensor แบบมือถือ ติดกับโดรนความสูงต่ำเพื่อประเมินสุขภาพพืช → เป็น Proximal Sensing
  • การใช้ Soil moisture sensor ฝังในดินเพื่อตรวจวัดความชื้น → ถือเป็น In-situ Sensing

สรุปแนวทางการใช้ในบทความ

ในบทความวิชาการควรใช้คำว่า Proximal Sensing (การสำรวจระยะใกล้) และในวงเล็บอธิบายเพิ่มเติมในครั้งแรกว่า

“หมายถึงการตรวจวัดข้อมูลจากพื้นที่ภาคสนามด้วยเซนเซอร์ที่ติดตั้งในระยะใกล้ โดยอาศัยเทคโนโลยี IoT หรือระบบควบคุมแบบฝังตัว เช่น Arduino, Raspberry Pi ร่วมกับระบบ GPS และการส่งข้อมูลแบบไร้สาย เพื่อวิเคราะห์สภาพแวดล้อมแบบเรียลไทม์”

กรณีศึกษา: ระบบติดตามและจัดการคุณภาพอากาศในเขตเมืองโดยใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศแบบบูรณาการ

1. ภูมิหลังของโครงการ

ในหลายเมืองใหญ่ของประเทศไทย เช่น กรุงเทพฯ และเชียงใหม่ มลพิษทางอากาศจากฝุ่น PM2.5 เป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนและระบบนิเวศอย่างรุนแรง โครงการนี้พัฒนาระบบติดตามคุณภาพอากาศที่ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศแบบบูรณาการ เพื่อให้ได้ข้อมูลแบบ real-time, location-based, และ spatially-integrated เพื่อใช้ในการตัดสินใจเชิงนโยบายและสร้างความตระหนักรู้ในระดับชุมชน


2. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศทั้ง 4 องค์ประกอบ

องค์ประกอบการใช้งานในโครงการ
1. GISใช้ในการจัดเก็บและแสดงผลข้อมูลคุณภาพอากาศแบบรายจุด พร้อมสร้างแผนที่แสดงค่าความเข้มข้นของฝุ่นในแต่ละพื้นที่ และวิเคราะห์ความสัมพันธ์กับการใช้ประโยชน์ที่ดิน สภาพจราจร และประชากร
2. Remote Sensingใช้ข้อมูลจากดาวเทียมเช่น MODIS หรือ Sentinel-5P (TROPOMI) เพื่อวิเคราะห์ความหนาแน่นของฝุ่นละอองในชั้นบรรยากาศและแหล่งกำเนิดมลพิษในระดับภูมิภาค
3. Proximal Sensingติดตั้งเซนเซอร์ตรวจวัด PM2.5, CO2, อุณหภูมิ และความชื้น ณ จุดสำคัญในเมือง เช่น โรงเรียน ตลาด หรือป้ายรถเมล์ โดยใช้เซนเซอร์แบบ low-cost (เช่น PMS5003, DHT22) เชื่อมกับ IoT และส่งข้อมูลขึ้นคลาวด์
4. GPS/GNSSกำหนดพิกัดของเซนเซอร์ทั้งหมดอย่างแม่นยำ เพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่และทำ spatial interpolation เช่น Kriging หรือ IDW เพื่อสร้างแผนที่การกระจายตัวของฝุ่น

3. ผลลัพธ์ของโครงการ

  • พัฒนา แพลตฟอร์มแสดงแผนที่คุณภาพอากาศแบบอินเตอร์แอคทีฟ ที่ประชาชนเข้าถึงได้
  • ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนโดยการ ติดตั้งเซนเซอร์ร่วมกับโรงเรียนหรือองค์กรท้องถิ่น
  • ข้อมูลช่วยสนับสนุนนโยบายของเทศบาล เช่น การห้ามเผาในที่โล่ง หรือ การกำหนดเขตควบคุมมลพิษ
  • สร้างโมเดลพยากรณ์การกระจายของฝุ่นละอองโดยใช้ Machine Learning ร่วมกับข้อมูลภูมิอากาศ

4. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

  • ส่งเสริมการสร้าง data governance สำหรับข้อมูลสิ่งแวดล้อมจากประชาชน
  • พัฒนามาตรฐานของเซนเซอร์และวิธีการเก็บข้อมูลภาคสนาม
  • บูรณาการระบบกับ แผนที่ผังเมือง เพื่อจัดการการใช้ที่ดินและลดแหล่งกำเนิดมลพิษ

กรณีศึกษา: การจัดการป่าไม้และความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ป่าชุมชนโดยใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศแบบบูรณาการ

1. ภูมิหลังของโครงการ

พื้นที่ป่าชุมชนในภาคเหนือของประเทศไทย เช่น จังหวัดน่าน เชียงราย และลำพูน เผชิญกับความเสื่อมโทรมจากการบุกรุกพื้นที่ การทำเกษตรเชิงเดี่ยว และภัยพิบัติทางธรรมชาติ โครงการนี้มุ่งสร้างระบบ ติดตาม รักษา และประเมินความหลากหลายทางชีวภาพของป่า ผ่านความร่วมมือของภาคประชาชน นักวิชาการ และหน่วยงานรัฐ โดยใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศทั้ง 4 องค์ประกอบเพื่อให้ได้ข้อมูลครบทุกมิติ


2. การประยุกต์เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศในงานอนุรักษ์ป่า

องค์ประกอบการประยุกต์ใช้
1. GISใช้ในการวิเคราะห์การใช้ประโยชน์ที่ดิน (land use/land cover) เพื่อวางแผนเขตอนุรักษ์ กำหนดเขตกันชน (buffer zones) และสร้างแบบจำลองเชิงพื้นที่ (e.g., habitat suitability models) สำหรับสัตว์ใกล้สูญพันธุ์
2. Remote Sensingใช้ภาพถ่ายดาวเทียม (เช่น Landsat, Sentinel-2, PlanetScope) เพื่อตรวจจับการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าในระยะยาว เช่น การสูญเสีย canopy cover, ความเข้มของพืชพรรณ (NDVI), ความร้อนพื้นผิว (LST)
3. Proximal Sensingติดตั้งเซนเซอร์ตรวจวัดความชื้นดิน อุณหภูมิแวดล้อม เสียงสัตว์ป่า หรือการเคลื่อนไหว (ผ่าน passive infrared sensors) โดยเชื่อมต่อกับ IoT เพื่อส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์ และใช้ประเมินสุขภาพของระบบนิเวศเฉพาะจุด
4. GPS/GNSSใช้ระบุตำแหน่งพรรณไม้หายาก จุดติดตั้งกล้องดักถ่ายสัตว์ (camera trap) และเส้นทางลาดตระเวนของเจ้าหน้าที่ โดยมีความแม่นยำสูงเพื่อการจัดทำแผนที่และฐานข้อมูลร่วมกับ GIS

3. ผลลัพธ์และประโยชน์เชิงนิเวศและเชิงสังคม

  • พบแนวโน้มของการลดลงของพื้นที่ป่าในบางช่วงเวลา โดยสอดคล้องกับฤดูกาลเกษตรในพื้นที่ → ส่งผลให้เกิดการเสนอแผนจัดการ seasonal patrol
  • เพิ่มอัตราการพบเห็นสัตว์ป่าหายากบางชนิดในพื้นที่ที่มีการใช้ sensor-based monitoring → เช่น การใช้ไมโครโฟนตรวจวัดเสียงของนกเงือกหรือสัตว์เฉพาะถิ่น
  • ข้อมูลที่ได้ถูกนำไปใช้ในการจัดทำ แผนปฏิบัติการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพระดับท้องถิ่น และปรับปรุงฐานข้อมูลในหน่วยงานด้านทรัพยากรธรรมชาติ

4. การมีส่วนร่วมของชุมชน

  • จัดอบรมการใช้แอปพลิเคชันแผนที่เคลื่อนที่ (mobile GIS) ให้แก่ชาวบ้านในการเก็บข้อมูลพืช สัตว์ และสภาพแวดล้อม → เสริมสร้างกระบวนการ citizen science
  • ใช้ข้อมูลจากกลุ่มอาสาสมัครชุมชนควบคู่กับข้อมูลดาวเทียม → ทำให้การตัดสินใจมีฐานข้อมูลที่รอบด้าน และเกิดการยอมรับในระดับท้องถิ่น

5. การวิเคราะห์และสังเคราะห์ทางวิชาการ

  • โครงการนี้สะท้อนแนวคิด Data-Driven Environmental Governance ที่อิงจากการสังเคราะห์ข้อมูลจากหลายระดับ (scales) และหลายแหล่ง (sources)
  • แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการบูรณาการเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศในเชิง interoperability ทั้งในมิติเชิงกายภาพ (physical), ชีวภาพ (biological) และสังคม (community engagement)

6. สรุปบทเรียนเชิงนโยบาย

  • เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศสามารถใช้สร้าง ระบบติดตามแบบ proactive สำหรับการอนุรักษ์
  • การรวมข้อมูลภาคสนามกับข้อมูลจากอากาศและดาวเทียมช่วยลดความคลาดเคลื่อนและเพิ่มความแม่นยำของการตัดสินใจ
  • การเสริมสร้างขีดความสามารถของชุมชนในการใช้เทคโนโลยีจะส่งผลระยะยาวต่อการดูแลป่าไม้อย่างยั่งยืน

ใส่ความเห็น

Related Posts