GeoSpatial ด้านการจัดการภัยพิบัติแผ่นดินไหวในประเทศไทย
🔍 แนวโน้มการวิจัย GeoSpatial ด้านการจัดการภัยพิบัติในปัจจุบัน
เหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 8.2 ในเมียนมาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 เป็น กรณีศึกษาเชิงวิศวกรรม-ภูมิศาสตร์ ที่สะท้อนความสำคัญของการใช้ข้อมูลเชิงพื้นที่เพื่อเข้าใจผลกระทบข้ามพรมแดน ในระดับโครงสร้างเมือง โครงการก่อสร้าง และการออกแบบนโยบายรับมือภัยพิบัติ
เทคโนโลยี Geospatial จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้าง “เมืองปลอดภัย” (Seismically Resilient City) ทั้งในด้านการวางผังเมือง การก่อสร้างอาคาร และระบบเตือนภัย ซึ่งประเทศไทยควรลงทุนพัฒนาอย่างจริงจังเพื่อรับมือกับภัยธรรมชาติในอนาคต
ระบบเครือข่ายตรวจวัดแผ่นดินไหวในประเทศไทย
ประเทศไทยมีหน่วยงานหลักคือ กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา ซึ่งรับผิดชอบการตรวจวัด วิเคราะห์ และแจ้งเตือนแผ่นดินไหวทั้งภายในและต่างประเทศ โดยมีระบบเครือข่ายสถานีตรวจวัดที่ครอบคลุมทั่วประเทศ ประกอบด้วย
- สถานีตรวจแผ่นดินไหว (Seismic Stations): กระจายอยู่ 40 แห่งทั่วประเทศ ทำหน้าที่ตรวจวัดคลื่นไหวสะเทือน
- สถานีตรวจวัดอัตราเร่งของพื้นดิน (Accelerometer Stations): จำนวน 26 แห่ง สำหรับวัดแรงเร่งของพื้นดิน ซึ่งจำเป็นต่อการประเมินผลกระทบต่อโครงสร้างอาคาร
- สถานีวัดการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก (GPS Stations): 4 แห่ง สำหรับติดตามการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกที่อาจสัมพันธ์กับกิจกรรมแผ่นดินไหว
- สถานีวัดระดับน้ำทะเล (Tide Gauge Stations): 9 แห่ง สำหรับเฝ้าระวังคลื่นสึนามิที่อาจเกิดจากแผ่นดินไหว
- สถานีตรวจวัดในหลุมเจาะ (Borehole Stations): 2 แห่งในกรุงเทพฯ สำหรับเพิ่มความแม่นยำในการตรวจวัด
ระบบทั้งหมดนี้เชื่อมโยงข้อมูลแบบเรียลไทม์ไปยังศูนย์กลางวิเคราะห์ของกรมอุตุนิยมวิทยา เพื่อประมวลผลและแจ้งเตือนภัยอย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง
source : http://61.19.55.91/

Geospatial Infrastructure สำหรับระบบเตือนภัยแผ่นดินไหวในประเทศไทย: บทเรียนจากเครือข่ายเฝ้าระวังของกรมอุตุนิยมวิทยา
บทนำ
ภัยแผ่นดินไหวเป็นภัยพิบัติที่ยังไม่สามารถพยากรณ์ได้ล่วงหน้าอย่างแม่นยำในเชิงเวลาและตำแหน่ง เนื่องจากเป็นปรากฏการณ์ทางธรณีฟิสิกส์ที่มีความซับซ้อนสูง การบรรเทาและเตรียมความพร้อมรับมือภัยแผ่นดินไหวในประเทศไทยจึงต้องอาศัย การตรวจวัดที่ถูกต้องแม่นยำและการจัดการข้อมูลเชิงพื้นที่แบบครบวงจร (GeoSpatial Management)
1. โครงสร้างพื้นฐานด้านการตรวจวัดแผ่นดินไหวของประเทศไทย
● หน่วยงานหลัก:
กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา ทำหน้าที่ตรวจจับ วิเคราะห์ และเผยแพร่ข้อมูลแผ่นดินไหวทั้งในประเทศและในภูมิภาค
● ระบบตรวจวัดที่ใช้งานอยู่:
- สถานีตรวจแผ่นดินไหวอัตโนมัติ (Seismic Stations)
ใช้เซนเซอร์ตรวจจับการสั่นสะเทือนของเปลือกโลก พร้อมระบบแจ้งเตือนทันทีเมื่อเกิดแผ่นดินไหว - สถานีตรวจวัดอัตราเร่งพื้นดิน (Accelerograph Stations)
ใช้วัดแรงสั่นที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่ชุมชนและโครงสร้างพื้นฐาน - สถานี GPS ตรวจวัดการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก (GNSS Stations)
เฝ้าระวังการเคลื่อนที่ของเปลือกโลกอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยประเมินความเครียดสะสมบริเวณแนวรอยเลื่อน - สถานีวัดระดับน้ำทะเล (Tide Gauge Stations)
ใช้ตรวจสอบคลื่นสึนามิหลังแผ่นดินไหวที่มีศูนย์กลางในทะเล
2. การประยุกต์ใช้ข้อมูล Geospatial เพื่อการเฝ้าระวังและเตือนภัย
● การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่แบบเวลาจริง (Real-time Spatial Analytics)
- GIS เชื่อมโยงข้อมูลจากสถานีตรวจแผ่นดินไหวเข้าสู่ ระบบ Web GIS และ Dashboard แบบโต้ตอบได้ (Interactive Maps)
- เมื่อเกิดแผ่นดินไหว ข้อมูลตำแหน่งศูนย์กลาง แรงสั่นสะเทือน และพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ จะถูกส่งและประมวลผลทันทีเพื่อ สร้างแผนที่ ShakeMap หรือ Intensity Maps
● การวางแผนผังพื้นที่เสี่ยงภัย (Seismic Hazard Zonation)
- ใช้ ข้อมูลการสั่นสะเทือนย้อนหลัง (historical seismicity), โครงสร้างดิน และลักษณะทางธรณีวิทยา เพื่อจัดระดับพื้นที่ตามระดับความเสี่ยง
- สามารถใช้แผนที่นี้ในการวางผังเมือง วางมาตรฐานอาคาร และวางแผนการก่อสร้างให้สอดคล้องกับความเสี่ยง
● การเตือนภัยในพื้นที่เสี่ยงสูง
- ระบบ GIS สนับสนุนการแจ้งเตือน ตามพิกัด ให้แก่ประชาชนในพื้นที่เสี่ยง ผ่านแอปพลิเคชันมือถือหรือป้ายอัจฉริยะในเมือง (Smart Pole)
- ระบบสามารถปรับให้สอดคล้องกับ รูปแบบของภัยพิบัติแบบพลวัต (Dynamic Hazard Modeling) เช่น อาฟเตอร์ช็อกที่เปลี่ยนทิศทางการกระจายตัว
3. การบูรณาการข้อมูลร่วมกับหน่วยงานอื่นในระบบเตรียมการ
ภัยแผ่นดินไหวต้องการการเตรียมความพร้อมแบบองค์รวม ซึ่งครอบคลุม:
ด้าน | หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง | บทบาท |
---|---|---|
นโยบาย | กรมโยธาธิการ, คณะกรรมการอาคาร | กำหนดมาตรฐานการออกแบบโครงสร้างรับแรงแผ่นดินไหว |
ปฏิบัติการฉุกเฉิน | ปภ., USAR, หน่วยกู้ภัย | ประเมินพื้นที่เสี่ยง, อพยพ, กู้ภัยในโครงสร้างถล่ม |
การศึกษาและวิจัย | สถาบันการศึกษา, วช., สวทช. | วิเคราะห์พฤติกรรมคลื่นแผ่นดินไหว, พัฒนาโมเดล GIS |
สื่อสารมวลชน | ไทยพีบีเอส, อสมท | ถ่ายทอดข้อมูลเชิงพื้นที่เพื่อให้ประชาชนตระหนักรู้ |
4. ข้อเสนอเชิงระบบเพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพ
ประเด็น | ข้อเสนอ |
---|---|
ข้อมูล | พัฒนา National Seismic Data Hub เชื่อมโยงหน่วยงานข้อมูลแผ่นดินไหวแบบเปิดและมีมาตรฐานเดียวกัน |
ระบบเตือนภัย | พัฒนา Earthquake Early Warning System แบบ Spatially Enabled |
การมีส่วนร่วม | ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนผ่านแอป Citizen Science + GeoTagging เมื่อรับรู้แรงสั่นสะเทือน |
การประเมินโครงสร้าง | ใช้ GIS ติดตามสถานะความมั่นคงของอาคารโรงเรียน โรงพยาบาล และโครงสร้างสำคัญในพื้นที่เสี่ยง |
🔍 แนวโน้มการวิจัย GeoSpatial ด้านการจัดการภัยพิบัติในปัจจุบัน
1. การใช้ Machine Learning ร่วมกับ GIS เพื่อการพยากรณ์ภัย (Predictive GeoAI)
- นักวิจัยเริ่มนำ GeoAI หรือการประยุกต์ใช้ ปัญญาประดิษฐ์กับข้อมูลภูมิสารสนเทศ เช่น Random Forest, SVM และ Deep Learning เข้ามาวิเคราะห์แนวโน้มการเกิดภัยพิบัติซ้ำซ้อน
- ตัวอย่างการใช้งาน: แบบจำลอง Earthquake Susceptibility Mapping ที่รวมข้อมูลรอยเลื่อน ความลาดชัน ลักษณะธรณี และความลึกของชั้นหิน
2. การบูรณาการข้อมูลเรียลไทม์ (Real-time Integration)
- ระบบ GIS ถูกออกแบบให้เชื่อมต่อกับ เซนเซอร์ตรวจจับแผ่นดินไหวแบบเรียลไทม์ เพื่อสนับสนุนระบบเตือนภัยล่วงหน้า เช่น ShakeMap และ Early Warning System บน Web GIS
- รองรับการตัดสินใจในระดับพื้นที่ เช่น การแจ้งเตือนประชาชน การควบคุมโครงสร้างพื้นฐาน และการส่งหน่วยกู้ภัยไปยังจุดเสี่ยง
3. การวิเคราะห์ความเสี่ยงแบบ Multi-Hazard
- งานวิจัยปัจจุบันให้ความสำคัญกับการ วิเคราะห์ภัยพิบัติแบบบูรณาการ (compound hazard) เช่น แผ่นดินไหวที่กระตุ้นดินถล่มหรืออาคารถล่มในพื้นที่ภูเขา
- GIS ถูกใช้สร้าง “Composite Risk Models” ที่รวมภัยหลายชนิดไว้ในระบบเดียว เช่น Earthquake + Landslide + Building Collapse
4. การพัฒนา Digital Twin สำหรับเมืองและระบบโครงสร้าง
- GeoSpatial ถูกเชื่อมกับ BIM (Building Information Modeling) และ IoT เพื่อตรวจสอบความเปราะบางของโครงสร้าง (vulnerability of built infrastructure) เช่น อาคาร โรงเรียน และสะพาน ในพื้นที่เสี่ยงแผ่นดินไหว
- ช่วยจำลองผลกระทบเชิงพื้นที่และทดสอบแนวทางรับมือในสภาพแวดล้อมเสมือนจริง
✅ ข้อเสนอแนะเชิงวิจัยและนโยบาย
ด้าน | ข้อเสนอแนะ |
---|---|
การวิจัย | ส่งเสริมการใช้ GeoAI วิเคราะห์แนวโน้มการสั่นสะเทือนจากแนวรอยเลื่อนทุติยภูมิ และจำลองผลกระทบเชิงโครงสร้าง |
การป้องกันภัย | พัฒนาระบบ Web GIS และ Dashboard สำหรับเผยแพร่ข้อมูลแผ่นดินไหวแบบเรียลไทม์ โดยใช้ข้อมูลจาก TMD และ USGS |
การวางแผนเมือง | บังคับใช้แบบจำลอง Earthquake Vulnerability ในการออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคารสำคัญในพื้นที่เสี่ยง |
การมีส่วนร่วม | ส่งเสริมเครือข่าย Citizen Seismology ให้ประชาชนรายงานแรงสั่นสะเทือนผ่านแอปเชิงพื้นที่ เช่น MyShake |
การจำแนกพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหวในประเทศไทย (Earthquake Hazard Mapping in Thailand)
แม้ว่าแผ่นดินไหวจะไม่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในประเทศไทยเท่ากับบางประเทศในแถบวงแหวนไฟแปซิฟิก (Pacific Ring of Fire) แต่ประเทศไทยยังคงมีแนวรอยเลื่อนทางธรณีวิทยาที่มีศักยภาพในการเกิดแผ่นดินไหวระดับปานกลางถึงรุนแรงได้ โดยเฉพาะบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันตก และพื้นที่ใกล้รอยเลื่อนมีพลัง เช่น รอยเลื่อนแม่จัน รอยเลื่อนเมย รอยเลื่อนแม่ฮ่องสอน และรอยเลื่อนบริเวณชายแดนไทย-พม่า
สถานการณ์ล่าสุดในปี 2568 (2025) ยิ่งเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของการประเมินและจำแนกพื้นที่เสี่ยงแผ่นดินไหวด้วย เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ (Geospatial Technology) และการบูรณาการข้อมูลหลากหลายประเภทผ่านระบบ GIS เพื่อการวางแผนและเตรียมความพร้อมอย่างยั่งยืน
🧭 การบูรณาการ GIS เพื่อการประเมินความเสี่ยง
● ข้อมูลรอยเลื่อนมีพลัง (Active Fault Data):
GIS ใช้ข้อมูลจากกรมทรัพยากรธรณีและ USGS สร้างแผนที่แนวรอยเลื่อน พร้อมระบุ โซนระยะกระทบ (Buffer Zones) ที่มีโอกาสรับแรงสั่นสะเทือนจากรอยเลื่อนที่อยู่ใกล้ หรือที่พาดผ่านชายแดนพม่า–ไทย
● ข้อมูลแผ่นดินไหวในอดีต (Historical Seismicity):
นำเหตุการณ์ขนาดใหญ่ในปี 2567 เข้าสู่ฐานข้อมูลแผ่นดินไหวย้อนหลัง เพื่ออัปเดตแบบจำลองแผนที่ Seismic Intensity และใช้ในการจัดทำแบบจำลองการเคลื่อนไหวของพื้นดิน (Ground Motion Model)
● ข้อมูลธรณีวิทยาและดิน:
พิจารณาพื้นที่ที่มี ดินอ่อน เช่น ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่งมีโอกาสขยายคลื่นแผ่นดินไหว (seismic amplification) ส่งผลให้แม้แผ่นดินไหวจะอยู่ไกล แต่แรงสั่นอาจส่งผลอย่างมีนัยสำคัญ
● ข้อมูลโครงสร้างพื้นฐานและประชากร:
GIS ใช้ในการวิเคราะห์ตำแหน่งของอาคารสำคัญ เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล อาคารสูง และพื้นที่ชุมชนแออัด ที่อาจได้รับผลกระทบสูงจากแรงสั่นในอนาคต
🗺 แผนที่ที่ควรจัดทำเพื่อรองรับสถานการณ์
ประเภทแผนที่ | วัตถุประสงค์ |
---|---|
Hazard Zonation Map | ระบุระดับความเสี่ยงในแต่ละพื้นที่ (ต่ำ-สูง) |
Vulnerability Map | บ่งชี้พื้นที่เปราะบางทั้งด้านโครงสร้างและสังคม |
Evacuation Planning Map | วางแผนเส้นทางหลบภัย จุดรวมพล และทรัพยากรฉุกเฉิน |
Ground Motion Scenario Map | จำลองการแพร่คลื่นสั่นสะเทือนในพื้นที่ดินอ่อนในเมือง |
✅ ข้อเสนอแนะเชิงวิชาการและนโยบาย
- อัปเดตแผนที่ความเสี่ยงแผ่นดินไหวระดับจังหวัด ให้ครอบคลุมผลกระทบจากรอยเลื่อนข้ามพรมแดน
- พัฒนาระบบ Web GIS แสดงแรงสั่นแบบ Real-time ให้ประชาชนและหน่วยงานเข้าถึงได้
- นำ Earthquake Early Warning System (EEWS) ร่วมกับ IoT เข้าสู่พื้นที่เสี่ยงเมือง
- ส่งเสริมการใช้ GeoAI ร่วมกับข้อมูลแผ่นดินไหวในอดีต เพื่อจำลองสถานการณ์และวางแผนฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ
🏢 กรณีศึกษาเสริม: เหตุการณ์ถล่มของอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) จากแรงแผ่นดินไหว
หนึ่งในเหตุการณ์ที่สร้างความสะเทือนใจและกลายเป็น “อาฟเตอร์ช็อก” ที่รุนแรงที่สุดจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งล่าสุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ การถล่มของอาคารสูง 30 ชั้น ที่ทำการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ ซึ่งกำลังก่อสร้างอยู่ในบริเวณถนนกำแพงเพชร 2 เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร
▪ รายละเอียดเหตุการณ์:
- วันที่เกิดเหตุ: 28 มีนาคม 2567 (บ่าย)
- เหตุการณ์: อาคารอยู่ระหว่างก่อสร้างเกิดการถล่มอย่างฉับพลัน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและสูญหายจำนวนมาก
- ความเชื่อมโยง: สาเหตุหลักมาจากแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวขนาด 8.2 แมกนิจูด ที่เกิดขึ้นในประเทศเมียนมา ซึ่งมีผลกระทบต่อหลายพื้นที่ในประเทศไทย
- อาคารนี้นับเป็นโครงสร้างเดียวในประเทศไทยที่พังถล่มจากแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวครั้งนี้
▪ ข้อพิจารณาทางวิชาการ:
- แผ่นดินไหวแม้จะเกิดในต่างประเทศ แต่สามารถส่งผลร้ายแรงถึงกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นพื้นที่ดินอ่อนและมีแนวโน้มขยายคลื่นแผ่นดินไหวได้ (seismic wave amplification)
- โครงการภาครัฐที่ใช้งบประมาณระดับพันล้านบาทควรมีการออกแบบให้รองรับแรงสั่นสะเทือนตามมาตรฐานแผ่นดินไหว (Seismic Design Standards)
- จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการใช้ GeoSpatial ในการประเมินความเสี่ยงระดับแปลงที่ดิน (site-specific microzonation) โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครที่มีโครงสร้างพื้นฐานหนาแน่น
📌 บทเรียนและข้อเสนอแนะจากกรณีศึกษา
ประเด็น | ข้อเสนอแนะ |
---|---|
ด้านเทคโนโลยี | พัฒนาระบบ GIS-Based Structural Vulnerability Mapping เพื่อวิเคราะห์ว่าอาคารแต่ละประเภทในเมืองมีความเปราะบางต่อแรงสั่นสะเทือนมากน้อยเพียงใด |
ด้านการออกแบบ | กำหนดให้โครงการขนาดใหญ่ในพื้นที่ดินอ่อนต้องผ่านกระบวนการ Seismic Microzonation Assessment ก่อนอนุญาตก่อสร้าง |
ด้านนโยบาย | บูรณาการข้อมูลความเสี่ยงแผ่นดินไหวเข้ากับ ระบบทะเบียนอาคารและใบอนุญาตก่อสร้าง ในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ |
ด้านความโปร่งใส | พัฒนา Public Earthquake Safety Dashboard ที่ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลความเสี่ยงของโครงการขนาดใหญ่ที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง |
แผ่นดินไหวเมียนมา 2568 กับความท้าทายทาง Geospatial: บทเรียนสำหรับการบริหารจัดการความเสี่ยงข้ามพรมแดน
บทนำ
เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 8.2 แมกนิจูด บริเวณใกล้เมืองสะกาย ประเทศเมียนมา โดยมีจุดศูนย์กลางลึกจากพื้นดินประมาณ 10 กิโลเมตร ถือเป็นแผ่นดินไหวที่มีพลังงานสูง (high-magnitude shallow-focus earthquake) ส่งผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือนรุนแรงที่สามารถรับรู้ได้ในประเทศไทยครอบคลุมถึง กรุงเทพมหานคร ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตามข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยาและสื่อสารมวลชนภายในประเทศ【4】【13】
เหตุการณ์นี้กลายเป็นหนึ่งในตัวอย่างชัดเจนของ “ภัยพิบัติข้ามพรมแดน” (transboundary hazard) ที่เน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของ เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ (Geospatial Technology) ในการติดตาม วิเคราะห์ และจัดการความเสี่ยงจากแผ่นดินไหวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
1. บริบทของรอยเลื่อนสะกาย (Sagaing Fault) และความสัมพันธ์เชิงพื้นที่กับไทย
รอยเลื่อนสะกาย (Sagaing Fault) เป็นรอยเลื่อนมีพลังที่วางตัวในแนวเหนือ–ใต้ มีความยาวกว่า 1,200 กิโลเมตร ผ่านใจกลางของเมียนมาและมีแนวโน้มเชิงโครงสร้างต่อเนื่องถึงชายแดนไทย–เมียนมา โดยเฉพาะจังหวัดแม่ฮ่องสอนและตาก
จากการวิเคราะห์ทางธรณีวิทยาและแผนที่เชิงภูมิสารสนเทศ:
- พื้นที่ภาคเหนือของไทย เช่น อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน อยู่ห่างจากศูนย์กลางแผ่นดินไหวครั้งนี้ไม่ถึง 100 กิโลเมตร
- กรุงเทพฯ อยู่ห่างออกไปราว 500 กิโลเมตร แต่ยังสามารถรับรู้แรงสั่นสะเทือนได้ เนื่องจากตั้งอยู่บนชั้นดินอ่อนในแอ่งตะกอนเจ้าพระยา ซึ่งมีค่าการขยายคลื่น (seismic wave amplification) สูง
- นี่แสดงให้เห็นว่า ระยะทางจากศูนย์กลางไม่ใช่ปัจจัยเดียวในการประเมินความเสี่ยง แต่ต้องพิจารณาความเปราะบางของภูมิประเทศและโครงสร้างทางกายภาพร่วมด้วย
2. ผลกระทบต่อพื้นที่เมือง และความเปราะบางทางโครงสร้าง
แม้ว่าแผ่นดินไหวจะเกิดนอกประเทศ แต่:
- มี รายงานความเสียหายใน 18 จังหวัดของไทย ครอบคลุม 63 จังหวัดที่สามารถรับรู้แรงสั่นสะเทือนได้
- อาคารที่ได้รับผลกระทบในกรุงเทพฯ ได้แก่:
- อาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) พังถล่ม
- เครนคอนโดในเขตดินแดงถล่ม มีผู้เสียชีวิต
- นั่งร้านของอาคารก่อสร้างพัง มีผู้เสียชีวิต
- มีรายงาน รอยร้าวในอาคารทั่วไป โดยเฉพาะอาคารสูงในพื้นที่ดินอ่อน
การวิเคราะห์เชิงพื้นที่แสดงให้เห็นว่า:
- อาคารที่สร้างเสร็จแล้วไม่พังถล่ม สะท้อนถึงประสิทธิภาพของ กฎหมายควบคุมอาคารในพื้นที่เมือง ที่บังคับใช้ตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา
- อาคารที่อยู่ระหว่างก่อสร้างยัง ไม่มีระบบต้านแรงสั่นสะเทือนที่สมบูรณ์ ซึ่งชี้ให้เห็นถึงช่องว่างในการควบคุมการก่อสร้างภายใต้สถานการณ์ภัยพิบัติ
3. บทบาทของ GeoSpatial Technology ในการจัดการและเตรียมความพร้อม
เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศมีความสำคัญในหลายมิติ:
● การทำแผนที่ความเสี่ยง (Earthquake Hazard Maps)
- รวมข้อมูลรอยเลื่อน, ภูมิประเทศ (DEM), โครงสร้างทางธรณี และระดับแรงสั่นสะเทือนที่เคยเกิดขึ้น
- นำไปสู่การพัฒนา Seismic Microzonation สำหรับเมืองใหญ่ โดยเฉพาะ กรุงเทพมหานคร
● การติดตามอาฟเตอร์ช็อกแบบเวลาจริง (Real-Time Aftershock Mapping)
- เหตุการณ์นี้มี อาฟเตอร์ช็อกกว่า 44 ครั้ง ขนาดตั้งแต่ 3.1–5.5 ซึ่งสามารถวิเคราะห์ตำแหน่งและแนวโน้มเชิงเวลา (temporal cluster) ได้ผ่านระบบ GIS
● การวางแผนอพยพและบริหารฉุกเฉิน (Emergency Spatial Planning)
- การประกาศ “กรุงเทพฯ เป็นเขตฉุกเฉิน” แสดงให้เห็นถึงการบูรณาการข้อมูล โครงสร้างพื้นฐาน, เส้นทางหลบภัย, จุดอพยพ และอาคารเสี่ยง บน Web GIS
● การเตรียมความพร้อมเชิงวิศวกรรม
- GIS ช่วยวางแผนการตรวจสอบโครงสร้างและออกแบบระบบตรวจจับแรงสั่นสะเทือนในอาคารที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง
- เสนอให้จัดทำ GeoTagging Database สำหรับอาคารภาครัฐและโครงการก่อสร้างทุกแห่ง
4. ข้อเสนอเชิงวิจัยและนโยบาย
ประเด็น | แนวทางการพัฒนา |
---|---|
ข้อมูลภูมิสารสนเทศ | จัดตั้ง ระบบฐานข้อมูลรอยเลื่อนและการสั่นสะเทือนระดับประเทศ พร้อมใช้สำหรับการวางผังเมือง |
การเฝ้าระวังและเตือนภัย | พัฒนา Web GIS + Mobile App แสดงระดับแรงสั่น, แนวรอยเลื่อน และแนวโน้มอาฟเตอร์ช็อกแบบ real-time |
กฎหมายและการก่อสร้าง | ปรับปรุงกฎหมายควบคุมอาคารให้ครอบคลุมถึง สถานะโครงสร้างระหว่างก่อสร้าง โดยเฉพาะในเขตเมืองดินอ่อน |
การสื่อสารสาธารณะ | ใช้ ข้อมูลเชิงพื้นที่เพื่อการสื่อสารวิกฤต (Crisis Geo-Communication) เพื่อสร้างความเข้าใจและการเตรียมตัวในสังคม |
✨ สรุปภาพรวม
เหตุการณ์การถล่มของอาคาร สตง. ที่กำลังก่อสร้างเป็นตัวอย่างเชิงประจักษ์ว่า ความเสี่ยงจากแผ่นดินไหวไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นเฉพาะในพื้นที่รอยเลื่อนเท่านั้น แต่สามารถขยายผลกระทบมายังเมืองใหญ่ที่อยู่ไกลจากศูนย์กลางได้ โดยเฉพาะเมื่อ มีปัจจัยเสริมด้านธรณีวิทยา เช่น ชั้นดินอ่อน และโครงสร้างที่ไม่ได้ออกแบบรองรับแรงแผ่นดินไหวอย่างเพียงพอ
การใช้เทคโนโลยี GeoSpatial จึงไม่ใช่เพียงแค่เครื่องมือในการ “ทำแผนที่ภัย” แต่เป็น “เครื่องมือในการสร้างมาตรฐานความปลอดภัยในระดับโครงการและระดับประเทศ” ที่ควรบูรณาการเข้าสู่การออกแบบ การบริหาร และการตรวจสอบโครงการขนาดใหญ่ โดยเฉพาะที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เมืองที่มีความเสี่ยงซ่อนเร้นจากแรงแผ่นดินไหว