20, ธ.ค. 2023
การวิเคราะห์เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วด้วยระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS)

การวิเคราะห์เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วด้วยระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS)

Extreme Weather Event Analysis with GIS

บทนำ

เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว (Extreme Weather Events) เช่น พายุเฮอริเคน น้ำท่วม ไฟป่า และพายุหมุน (tornadoes) มีแนวโน้มเกิดขึ้นบ่อยครั้งและรุนแรงมากขึ้นในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา อันเป็นผลโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) ซึ่งทำให้ระบบอุตุนิยมวิทยาในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลกเกิดความไม่แน่นอนและรุนแรงมากขึ้น

เหตุการณ์เหล่านี้ส่งผลกระทบทั้งด้านมนุษย์ เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม การเตรียมความพร้อม การคาดการณ์ และการวางแผนการรับมือภัยพิบัติ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง และ ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) ได้กลายเป็นเครื่องมือที่มีบทบาทสำคัญในทุกขั้นตอนของการจัดการภัยพิบัติ ตั้งแต่การวิเคราะห์ข้อมูลในอดีต การติดตามสถานการณ์แบบเรียลไทม์ การระบุพื้นที่เสี่ยง ไปจนถึงการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ


บทบาทสำคัญของ GIS ในการวิเคราะห์เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว

1. การทำแผนที่ข้อมูลภัยพิบัติในอดีต (Mapping Historical Disaster Data)

หนึ่งในพื้นฐานของการวิเคราะห์เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วคือ การศึกษาประวัติของภัยพิบัติที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เพื่อทำความเข้าใจแนวโน้ม ความถี่ ความรุนแรง และพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ

ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) เป็นเครื่องมือสำคัญในการ รวบรวม วิเคราะห์ และแสดงผลข้อมูลเชิงพื้นที่ของภัยพิบัติในอดีต ซึ่งเป็นรากฐานในการวางแผนรับมือภัยในอนาคตอย่างเป็นระบบและมีหลักฐานเชิงประจักษ์

1.1. การรวบรวมและแปลงข้อมูลภัยพิบัติให้เป็นข้อมูลเชิงพื้นที่

  • ข้อมูลดิบที่เกี่ยวข้องกับภัยพิบัติในอดีต เช่น ปีที่เกิดพายุ จุดเริ่มต้นของไฟป่า ขอบเขตของน้ำท่วม หรือสถิติความเสียหาย มักอยู่ในรูปแบบตาราง รายงาน หรือเอกสาร
  • GIS ช่วยแปลงข้อมูลเหล่านี้ให้กลายเป็น ชั้นข้อมูลเชิงพื้นที่ (spatial layers) เช่น shapefile หรือ raster ที่สามารถแสดงตำแหน่งบนแผนที่ได้
  • ข้อมูลเหล่านี้อาจมาจากแหล่งต่าง ๆ เช่น ฐานข้อมูล EM-DAT, NASA Disasters Program, กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) หรือข้อมูลจากการสำรวจด้วยภาพถ่ายดาวเทียม (e.g., Landsat, Sentinel)

1.2. การสร้างแบบจำลองความเสี่ยงในอนาคต (Future Risk Modeling)

หลังจากได้ข้อมูลเชิงพื้นที่ของภัยในอดีต GIS สามารถนำมาสร้างแบบจำลองเพื่อประเมิน “โอกาสในการเกิดซ้ำ (recurrence probability)” และ “ความเสี่ยงเชิงพื้นที่ (spatial risk)” ในอนาคต ดังนี้:

● Hotspot Analysis (การวิเคราะห์พื้นที่ร้อน)

  • ใช้เทคนิคเชิงสถิติเชิงพื้นที่ เช่น Getis-Ord Gi หรือ Kernel Density Estimation (KDE)* เพื่อระบุ “จุดร้อน” ที่มีความถี่ของการเกิดภัยสูงกว่าค่าเฉลี่ย
  • ตัวอย่าง: การวิเคราะห์พื้นที่ที่เกิดไฟป่ามากกว่า 3 ครั้งในรอบ 10 ปี หรือพื้นที่ที่พายุพัดผ่านซ้ำในรัศมีเดียวกันบ่อยครั้ง
  • ผลลัพธ์ช่วยให้สามารถ จัดลำดับความสำคัญของการเฝ้าระวังและวางแผนเชิงป้องกัน ได้อย่างมีเป้าหมาย

● Time-Series Mapping (การทำแผนที่ตามลำดับเวลา)

  • เทคนิคนี้ใช้ GIS สร้างแผนที่หลายช่วงเวลา (temporal maps) เพื่อแสดง พัฒนาการของภัยพิบัติในช่วงเวลาต่าง ๆ เช่น แผนที่น้ำท่วมรายปี หรือไฟป่ารายเดือน
  • เมื่อเชื่อมโยงกับเทคนิค animation หรือ interactive dashboards จะทำให้เห็นแนวโน้มการเปลี่ยนแปลง เช่น การขยายขอบเขตของไฟป่าในช่วงฤดูแล้ง หรือการเปลี่ยนตำแหน่งของจุดเสี่ยงน้ำท่วมตามพฤติกรรมของการใช้ที่ดิน
  • ใช้เพื่อ คาดการณ์การเปลี่ยนแปลงภัยพิบัติในอนาคต หากแนวโน้มยังคงดำเนินต่อไป เช่น การเร่งตัวของเหตุการณ์ หรือการขยายขอบเขตความเสี่ยง

1.3. การบูรณาการกับข้อมูลเชิงสภาพแวดล้อมและมนุษย์

นอกเหนือจากข้อมูลภัยพิบัติเฉพาะด้านแล้ว GIS ยังสามารถเชื่อมโยงกับข้อมูลอื่นเพื่อเพิ่มมิติของการวิเคราะห์ ได้แก่:

  • ข้อมูลประชากร (Population Density): เพื่อประเมินความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สิน
  • ข้อมูลการใช้ที่ดิน (Land Use): เช่น พื้นที่เกษตรกรรม เมือง ป่าไม้ ซึ่งมีผลต่อการเกิดและการขยายของภัย
  • ข้อมูลโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure): เช่น ถนน เขื่อน ระบบระบายน้ำ ที่อาจถูกกระทบจากภัย

ผลการวิเคราะห์แบบบูรณาการนี้สามารถนำไปใช้เพื่อจัดทำ “แผนที่ความเสี่ยงเชิงองค์รวม (Integrated Risk Maps)” ซึ่งครอบคลุมทั้งมิติทางกายภาพ มนุษย์ และโครงสร้างพื้นฐาน


2. การระบุพื้นที่เสี่ยงภัยสูง (Identifying High-Risk Zones)

หนึ่งในศักยภาพหลักของระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) ในการวิเคราะห์เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว คือ ความสามารถในการ จัดทำแผนที่พื้นที่เสี่ยง (Hazard Maps) โดยอิงจากการบูรณาการข้อมูลจากหลายแหล่ง ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลภูมิประเทศ อุตุนิยมวิทยา ชนิดพืชพรรณ หรือสถิติภัยในอดีต เพื่อระบุพื้นที่ที่มีความเปราะบางและมีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบหากเกิดภัยพิบัติขึ้น

2.1. การทำแผนที่น้ำท่วม (Flood Hazard Mapping)

GIS มีบทบาทสำคัญในการ ประเมินความเสี่ยงน้ำท่วมเชิงพื้นที่ (Flood Susceptibility Mapping) ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลดังต่อไปนี้:

  • ข้อมูลภูมิประเทศ (Digital Elevation Model: DEM): ใช้ในการวิเคราะห์ระดับความสูง ลาดชัน ทิศทางการไหลของน้ำ และการสะสมของน้ำ (flow accumulation) ซึ่งเป็นพื้นฐานของการจำลองการท่วม
  • ข้อมูลปริมาณฝนเฉลี่ยรายปีและรายเดือน: จากสถานีตรวจวัด หรือข้อมูลเชิงกริด เช่น CHIRPS, GPM หรือ TRMM เพื่อใช้ในแบบจำลอง runoff
  • ข้อมูลระบบระบายน้ำ (Drainage Networks): เช่น ลำน้ำสายหลัก ท่อระบายน้ำ และพื้นที่รับน้ำ เพื่อประเมินความสามารถในการระบายน้ำออกจากพื้นที่

GIS นำข้อมูลเหล่านี้มาสร้าง แบบจำลองแผนที่น้ำท่วม เช่น:

  • Flood Inundation Models: แบบจำลองการกระจายตัวของน้ำท่วมในพื้นที่ราบ
  • Flood Depth Maps: แสดงระดับความลึกของน้ำท่วมในแต่ละจุด
  • Flood Return Period Maps: วิเคราะห์โอกาสการเกิดน้ำท่วมซ้ำ (เช่น 5 ปี, 25 ปี, 100 ปี)

ผลลัพธ์เหล่านี้มีประโยชน์ต่อการวางแผนการใช้ที่ดิน กำหนดเขตปลอดภัย และการเตือนภัยล่วงหน้า


2.2. การวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงไฟป่า (Wildfire Risk Analysis)

ไฟป่าเป็นภัยที่มีลักษณะเฉพาะคือ การเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและลุกลามในวงกว้าง ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและมนุษย์ GIS ช่วยในการวิเคราะห์ความเสี่ยงไฟป่าผ่านปัจจัยต่อไปนี้:

  • ชนิดพืชพรรณ (Vegetation Type): พืชที่มีความแห้ง เช่น หญ้าแห้ง สน มักติดไฟได้ง่าย ข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียม เช่น Sentinel-2 และ NDVI ช่วยแยกชนิดพืชพรรณได้อย่างแม่นยำ
  • ดัชนีความแห้ง (Dryness Index): เช่น NDWI หรือ Vegetation Condition Index (VCI) ใช้ในการประเมินความชื้นของพืชพรรณในช่วงเวลานั้น ๆ
  • ข้อมูลทิศทางและความเร็วลม: มีผลต่อการลุกลามของไฟ เช่น พื้นที่ที่อยู่เหนือลมมีความเสี่ยงสูง
  • ประวัติการเกิดไฟป่า (Historical Burned Areas): ใช้สำหรับตรวจสอบความถี่และแนวโน้มของไฟป่าในอดีต

GIS จะสร้างแผนที่เชิงประเมิน เช่น:

  • Wildfire Susceptibility Map: แสดงโซนที่มีความเสี่ยงสูง
  • Fire Spread Simulation: แบบจำลองการลุกลามของไฟตามทิศทางลมและลักษณะภูมิประเทศ

2.3. การจำแนกพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหวในประเทศไทย (Earthquake Hazard Mapping in Thailand)

แม้ว่าแผ่นดินไหวจะไม่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในประเทศไทยเท่ากับบางประเทศในแถบวงแหวนไฟแปซิฟิก (Pacific Ring of Fire) แต่ประเทศไทยยังคงมีแนวรอยเลื่อนทางธรณีวิทยาที่มีศักยภาพในการเกิดแผ่นดินไหวระดับปานกลางถึงรุนแรงได้ โดยเฉพาะบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันตก และพื้นที่ใกล้รอยเลื่อนมีพลัง เช่น รอยเลื่อนแม่จัน รอยเลื่อนเมย รอยเลื่อนแม่ฮ่องสอน และรอยเลื่อนบริเวณชายแดนไทย-พม่า

ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) จึงมีบทบาทสำคัญในการ รวบรวม วิเคราะห์ และจัดทำแผนที่ความเสี่ยงภัยแผ่นดินไหว (Earthquake Hazard Zonation) โดยการบูรณาการข้อมูลหลากหลายประเภท ได้แก่:


● ข้อมูลรอยเลื่อนมีพลัง (Active Fault Data)

  • ข้อมูลตำแหน่งและลักษณะของรอยเลื่อนที่มีศักยภาพก่อแผ่นดินไหว สามารถได้จากกรมทรัพยากรธรณี และแหล่งข้อมูลระหว่างประเทศ เช่น USGS
  • GIS ใช้ข้อมูลนี้สร้าง แผนที่แนวรอยเลื่อน (Fault Line Maps) และ โซนระยะกระทบ (Buffer Zones) รอบแนวรอยเลื่อนเพื่อประเมินความเสี่ยงของพื้นที่ที่อยู่ใกล้

● ข้อมูลความรุนแรงของแผ่นดินไหวในอดีต (Historical Seismicity)

  • ข้อมูลเหตุการณ์แผ่นดินไหวย้อนหลัง (magnitude, epicenter, depth) จาก Thai Meteorological Department (TMD) หรือกรมอุตุนิยมวิทยา
  • GIS ใช้สำหรับสร้าง Seismic Intensity Maps เพื่อระบุพื้นที่ที่เคยได้รับแรงสั่นสะเทือนรุนแรง และนำมาใช้เป็นฐานข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์สำหรับแบบจำลองความเสี่ยงในอนาคต

● ข้อมูลธรณีวิทยาและดิน (Geological and Soil Data)

  • ลักษณะของชั้นดินและโครงสร้างธรณี เช่น ดินอ่อน ดินตะกอน หรือหินแข็ง มีผลต่อการขยายตัวของคลื่นแผ่นดินไหว (seismic wave amplification)
  • GIS สามารถวิเคราะห์ความเสี่ยงในพื้นที่ที่มีดินอ่อน เช่น ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่งมีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากแรงสั่นสะเทือนมากกว่าพื้นที่หินแข็ง

● ข้อมูลโครงสร้างพื้นฐานและประชากร (Infrastructure and Population Data)

  • GIS ใช้ในการวิเคราะห์ความเสี่ยงเชิงระบบ (systemic vulnerability) โดยระบุตำแหน่งของ โรงเรียน โรงพยาบาล อาคารสูง เขื่อน หรือโรงงานอุตสาหกรรม ที่อยู่ในบริเวณเสี่ยง
  • รวมถึง การวิเคราะห์ความหนาแน่นประชากร (population density) เพื่อประเมินผลกระทบต่อมนุษย์หากเกิดแผ่นดินไหวในบริเวณดังกล่าว

● การจัดทำแผนที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหว (Earthquake Hazard Maps)

เมื่อบูรณาการข้อมูลข้างต้นในระบบ GIS จะสามารถสร้างแผนที่ประเภทต่าง ๆ เพื่อใช้ในการบริหารจัดการความเสี่ยง ได้แก่:

  • แผนที่เขตเสี่ยงภัย (Hazard Zonation Map): แสดงระดับความเสี่ยงในแต่ละพื้นที่ เช่น ต่ำ ปานกลาง สูง
  • แผนที่ความเปราะบาง (Vulnerability Map): บ่งชี้ความเสี่ยงของโครงสร้างพื้นฐานและประชากร
  • แผนที่การอพยพ (Evacuation Planning Map): วางแผนเส้นทางปลอดภัยและจุดรวมพลในเขตเมือง

ผลลัพธ์จากการวิเคราะห์จะกลายเป็น “แผนที่ความเปราะบาง (Vulnerability Maps)” ที่ช่วยให้หน่วยงานสามารถวางแผนใช้ที่ดิน กำหนดเขตปลอดภัย หรือวางแนวทางอพยพล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ


3. การสนับสนุนการวางแผนและตอบสนองเหตุการณ์ฉุกเฉิน (Supporting Emergency Response Planning)

ในช่วงที่เกิดภัยพิบัติ ความรวดเร็วและความแม่นยำในการตอบสนอง เป็นหัวใจของการลดผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สิน GIS สนับสนุนกระบวนการนี้ได้ในหลายมิติ:

● การติดตามเหตุการณ์แบบเรียลไทม์ (Real-time Tracking)

  • ใช้ข้อมูลจาก ดาวเทียมตรวจสอบสภาพอากาศ (เช่น Himawari, GOES) หรือเซนเซอร์ภาคพื้นดินเพื่อติดตามการเคลื่อนตัวของพายุ หรือการลุกลามของไฟป่า
  • แสดงผลในแผนที่แบบ interactive dashboard ที่ช่วยให้เจ้าหน้าที่รับมือภัยสามารถตัดสินใจได้ทันต่อสถานการณ์

● การกระจายทรัพยากร (Resource Distribution)

  • GIS ช่วยระบุตำแหน่งของ โรงพยาบาล ศูนย์พักพิง และเส้นทางอพยพ เพื่อนำไปใช้วางแผนการเคลื่อนย้ายประชาชนและจัดส่งสิ่งของจำเป็น
  • ใช้ network analysis เพื่อคำนวณเส้นทางที่สั้นที่สุด ปลอดภัยที่สุด หรือที่ยังไม่ถูกตัดขาด

● การประเมินความเสียหาย (Damage Assessment)

  • หลังเหตุการณ์ผ่านพ้น GIS จะใช้ข้อมูลจากภาพถ่ายทางอากาศหรือดาวเทียมเปรียบเทียบภาพก่อนและหลังภัยพิบัติเพื่อประเมิน ขอบเขตความเสียหาย
  • การวิเคราะห์นี้สำคัญต่อการขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลหรือองค์การระหว่างประเทศ เช่น การประเมินความเสียหายเพื่อยื่นขอความช่วยเหลือด้านการเงิน หรือประกันภัย

สรุป

GIS เป็นเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์และจัดการกับเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วอย่างครอบคลุม ตั้งแต่การศึกษาข้อมูลในอดีต การระบุพื้นที่เสี่ยง การเตือนภัย การประสานงานตอบสนองฉุกเฉิน ไปจนถึงการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ ความสามารถในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่จากหลายแหล่ง ช่วยให้สามารถวางแผนและตอบสนองต่อภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และแม่นยำมากขึ้น

การบูรณาการ GIS เข้ากับ ข้อมูลจาก Remote Sensing, โมเดลสภาพอากาศ และระบบเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning Systems) จะเป็นกลไกสำคัญในการสร้าง ความยืดหยุ่นของชุมชน (community resilience) ต่อภัยพิบัติในยุคของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรวดเร็วและรุนแรง

ใส่ความเห็น

Related Posts