หมุดศูนย์กำเนิดพื้นหลักฐาน Indian 1975 บนยอดเขาสะแกกรัง
“หมุดศูนย์กำเนิดพื้นหลักฐาน Indian 1975” บนยอดเขาสะแกกรัง จังหวัดอุทัยธานี ถือเป็นแหล่งเรียนรู้ทางภูมิสารสนเทศที่ทรงคุณค่า ทั้งในเชิงเทคนิคและเชิงประวัติศาสตร์ภูมิศาสตร์ ด้านล่างนี้คือการขยายความในเชิงวิชาการที่น่าสนใจ เพื่อใช้ประกอบการศึกษา นิทรรศการ หรือกิจกรรมสื่อสารสาธารณะในสาย Geo-Informatics:
🧭 หมุดศูนย์กำเนิดพื้นหลักฐาน (Geodetic Datum Origin Point): ความหมายและความสำคัญ
หมุดศูนย์กำเนิดพื้นหลักฐาน (Datum Origin Point) คือจุดเริ่มต้นของการกำหนดระบบพิกัดภูมิศาสตร์ (Geodetic Coordinate System) โดยเฉพาะการกำหนดระนาบอ้างอิง (Reference Ellipsoid) ซึ่งเป็นพื้นฐานสำหรับ:
- การทำแผนที่ระดับชาติ
- การคำนวณระยะทาง เส้นตรง ความลาดชัน และพื้นที่
- ระบบนำทาง เช่น GNSS/GPS ที่ต้องใช้การแปลงค่าพิกัดระหว่าง datums
🗺️ Indian 1975 Datum: บริบททางเทคนิค
Indian 1975 เป็นพื้นหลักฐานภูมิศาสตร์ที่พัฒนาขึ้นโดยประเทศอินเดีย เพื่อใช้ในงานแผนที่และการวางโครงข่ายรังวัดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
- Ellipsoid Base: Everest 1830 (Modified)
- Central Datum Point: ตั้งอยู่ในประเทศอินเดีย
- จุดยึดประสานในประเทศไทย: คือหมุดบนเขาสะแกกรัง จ.อุทัยธานี
การใช้งาน Indian 1975 ครอบคลุมแผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ของประเทศไทย ในช่วงก่อนการเปลี่ยนมาใช้ WGS84 อย่างเป็นทางการ

📌 หมุดเขาสะแกกรัง: บทบาทในระบบพิกัดประเทศไทย
หมุดนี้เป็น หมุดควบคุมระดับสูง (Primary Geodetic Control Point) ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษ:
- มีพิกัดที่ได้จากการเชื่อมโยงด้วยการรังวัดทางดาวเทียม
- เป็นจุดควบคุมการเชื่อมโยงเครือข่ายระดับประเทศ (Geodetic Network)
- รองรับการคำนวณแปลงค่าระหว่างระบบ Indian 1975 และ WGS84
👉 พิกัดที่คุณระบุ:
mathematicaCopyEditLatitude: 15°22’56.0487” N
Longitude: 100°0’59.1906” E
Elevation: 140.98 m (MSL)
นับว่าเป็นข้อมูลระดับ Survey-grade ที่สามารถใช้ในการปรับแก้ค่าพิกัด GNSS ได้ในระบบ RTK หรือ PPP
🔭 มุมมองเชิงประวัติศาสตร์การสำรวจ
การมีหมุดระดับภูมิภาคในประเทศไทย แสดงถึงบทบาทของประเทศไทยในเครือข่ายการรังวัดโลก (Global Geodetic Network) ตั้งแต่ยุคสงครามเย็น ที่การสำรวจแผนที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ทางทหาร โดยหมุด 3 จุดหลักที่กล่าวถึงใน Asia ได้แก่:
- Central Datum – India 🇮🇳
- Sakae Krang, Thailand 🇹🇭
- Hanoi Area, Vietnam 🇻🇳
ข้อมูลจากหมุดเหล่านี้ถูกใช้ในการพัฒนาแผนที่มาตรฐานภูมิศาสตร์โลก (Global Mapping Project) และใช้ในระบบการรังวัดเชิงแม่นยำของหน่วยงานด้านความมั่นคง
🏞️ คุณค่าในการท่องเที่ยวเชิงวิชาการ (Geo-tourism)
เขาสะแกกรังสามารถส่งเสริมเป็น แหล่งท่องเที่ยวทางภูมิศาสตร์ (Geo-heritage Site) ได้ โดยเน้น:
- การเรียนรู้เกี่ยวกับระบบพิกัดและแผนที่
- ประวัติศาสตร์การสำรวจโลกในภูมิภาคเอเชีย
- การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศในงานภาคสนาม
กิจกรรมเสริมเช่น การวัดพิกัดด้วย GNSS / การอ่านค่าพิกัดจากดาวเทียม / การแปลง datum ด้วยโปรแกรม QGIS หรือ ArcGIS สามารถนำมาใช้จัดค่ายเยาวชนหรือหลักสูตรภาคสนามได้เป็นอย่างดี
🔭 ความหมายของ “สถานีลาพลาส” (Laplace Station)
สถานีลาพลาส (Laplace Station) เป็นรากฐานทางวิชาการของระบบพิกัดภูมิศาสตร์ในยุคก่อน GNSS โดยมีบทบาทสำคัญในด้านการสร้างระบบควบคุมค่าพิกัด (Geodetic Datum Control) การตรวจสอบความเบี่ยงเบนของระบบรังวัด และยังเป็นรากฐานของการพัฒนาแบบจำลอง Geoid และ Ellipsoid ที่ใช้ในปัจจุบัน
สถานีลาพลาส คือจุดที่มีการรังวัดทางดาราศาสตร์ (Astronomic Observation) เพื่อหาค่าพิกัดภูมิศาสตร์ (Latitude และ Longitude) โดยเฉพาะจากการสังเกตการณ์ดาวฤกษ์ตามเทคนิคทางแอสโตรโนมี โดยจะใช้ มุมชั่วโมง (Hour Angle) ของดาวฤกษ์ที่ทราบพิกัดท้องฟ้าแน่นอน มาคำนวณหา:
- Latitude (φ): จากมุมเงย (Altitude) ขณะดาวข้ามเมริเดียน
- Longitude (λ): จากความแตกต่างของเวลาเมื่อดาวดวงเดียวกันข้ามเมริเดียนที่สถานีต่าง ๆ
📐 จุดประสงค์ของสถานีลาพลาสในงานรังวัด
- ตรวจสอบและปรับแก้ค่าพิกัดเชิงดาราศาสตร์ vs พิกัดเชิงเรขาคณิต
- เพื่อตรวจสอบผลกระทบของแรงโน้มถ่วงไม่สม่ำเสมอ (Deflection of the vertical)
- ค่าที่ได้จาก Laplace Station ใช้เปรียบเทียบกับค่าพิกัดจากการรังวัดเครือข่ายสามเหลี่ยม (Geodetic Triangulation)
- เชื่อมโยงระบบพิกัดเชิงดาราศาสตร์ (Astronomical Coordinate System) เข้ากับระบบพิกัดเชิงเรขาคณิต (Geodetic Datum)
- ใช้ตรวจสอบและควบคุมความถูกต้องของโครงข่ายสามเหลี่ยมหลัก (Geodetic Control Network) ก่อนมี GNSS

🧠 หลักการรังวัดในสถานีลาพลาส
- ใช้เครื่องมือ Theodolite หรือ Transit Telescope กับ Chronometer ที่แม่นยำ
- วัดค่ามุมและเวลาเมื่อดาวดวงหนึ่งผ่านเส้นเมริเดียนท้องถิ่น (Local Meridian)
- อาศัยตารางพิกัดท้องฟ้า (Ephemeris) ในการคำนวณย้อนกลับเพื่อหาค่าพิกัดภูมิศาสตร์ของจุดสังเกต
🗺️ ความสำคัญทางประวัติศาสตร์
ก่อนการมาถึงของระบบดาวเทียม เช่น GPS หรือ GNSS ปัจจุบัน การวางโครงข่ายรังวัดของประเทศต่าง ๆ ล้วนต้องมี Laplace Station จำนวนหนึ่งกระจายอยู่ในประเทศ เพื่อ:
- เป็นจุดควบคุมมาตรฐานระดับชาติ (National Geodetic Control Points)
- ปรับแก้ค่าเบี่ยงเบนของแนวดิ่งในแต่ละพื้นที่ (Deflection of Vertical – DoV)
- ใช้คำนวณค่า geoid undulation และค่าปรับระดับในการถ่ายโอนระหว่างระบบ geoid และ ellipsoid
📌 ตัวอย่างการใช้งานในประเทศไทย
ประเทศไทยในอดีตมี จุด Laplace Station หลายจุด เช่น บริเวณ:
- หอรังวัดพระนคร
- เขาสะแกกรัง จ.อุทัยธานี
- บริเวณสถานีธรณีวิทยากลางในโครงการสำรวจฯ ของกรมแผนที่ทหาร
🧭 หมุดศูนย์กำเนิดพื้นหลักฐาน (Datum Origin Reference Points)
หมุดศูนย์กำเนิดพื้นหลักฐาน หรือ Geodetic Datum Origin Markers เป็นหมุดรังวัดระดับสูงที่มีไว้สำหรับ:
- เป็นจุดอ้างอิง ในการเริ่มต้นวางโครงข่ายรังวัดสามเหลี่ยม (Triangulation Networks)
- ใช้คำนวณและควบคุมการลงพิกัด ในการจัดทำแผนที่มาตรฐานภูมิศาสตร์ของชาติ
- รองรับการแปลงค่าพิกัด ไปสู่ระบบสากล เช่น WGS84 หรือระบบ local datum อื่น ๆ
🌍 ตำแหน่งสำคัญทั้ง 3 หมุดในทวีปเอเชีย
- หมุดที่ 90 – เขากาเรียนเปอร์ ประเทศอินเดีย 🇮🇳
จุดกำเนิดของ Indian Datum ซึ่งเป็นระบบอ้างอิงหลักในการรังวัดของเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ช่วงก่อนทศวรรษ 1990 - หมุดที่ 91 – เขาสะแกกรัง อ.เมือง จ.อุทัยธานี ประเทศไทย 🇹🇭
จุดศูนย์กลางของระบบพิกัด Indian 1975 ที่ใช้ในแผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ของไทยโดยกรมแผนที่ทหาร - หมุดที่ 92 – สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม 🇻🇳
เชื่อมต่อโครงข่ายระหว่างประเทศ รองรับการคำนวณพิกัดแบบข้ามพรมแดน
ทั้ง 3 หมุดนี้ถือว่าเป็น “Tri-Continental Datum Control Points” ของโครงข่าย Indian Datum ซึ่งเป็นแบบจำลองภูมิประเทศเฉพาะภูมิภาค (Regional Geodetic Model)

🏞️ เขาสะแกกรัง และความสำคัญของหมุดที่ 91
หมุดที่ 91 บนยอดเขาสะแกกรัง จ.อุทัยธานี:
- มีลักษณะเป็นหมุดทองเหลืองฝังในแท่นซีเมนต์
- บันทึกวันวางหมุด: 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2516
- ปรากฏชื่อเจ้าหน้าที่: พ.ท.สอาด นิยพันธ์ – ผู้ควบคุมการรังวัด ณ เวลานั้น
- ใช้ในโครงการรังวัดระดับประเทศของกรมแผนที่ทหาร ภายใต้แผนที่ Indian 1975 Datum
- เชื่อมโยงกับสถานีรังวัดทางดาราศาสตร์ (Laplace Station) เพื่อกำหนดค่าพิกัดที่แม่นยำ
🔭 สถานีลาพล๊าส: เครื่องมือสำรวจดาราศาสตร์ของการรังวัดแผนที่
คำว่า “สถานีลาพล๊าส” บนหมุดหมายถึง:
- จุดที่มีการสังเกตดวงดาว (star observations) เพื่อกำหนดค่าพิกัดจากการวัดมุมชั่วโมง (hour angle)
- ใช้เทียบค่าพิกัดดาราศาสตร์กับค่าพิกัดเรขาคณิตจากการรังวัดสามเหลี่ยม
- เป็นสถานีควบคุมเชิงวิทยาศาสตร์และมีความแม่นยำสูง เพื่อแก้ค่าความผิดพลาดของแนวดิ่ง (deflection of the vertical)
✨ มิติทางประวัติศาสตร์และวิชาการ
การบันทึกชื่อเจ้าหน้าที่และวันที่สร้างหมุด ไม่ใช่แค่ “การจารึก” เท่านั้น แต่เป็น:
แสดงให้เห็นว่า การกำหนดพิกัดที่แม่นยำ ต้องอาศัยการผสมผสานทั้ง Astronomy, Geometry, Geodesy และ Surveying
หลักฐานการดำเนินงานเชิงวิชาการโดยรัฐ
เครื่องยืนยัน “รากทางวิทยาศาสตร์” ของการทำแผนที่ไทยในระดับชาติ
🔄 ความเชื่อมโยงกับระบบสมัยใหม่ (GNSS)
ปัจจุบันแม้ว่า GNSS จะสามารถให้ค่าพิกัดแบบ Global ได้โดยตรง แต่ในแง่ของการ ตรวจสอบค่าความผิดพลาดท้องถิ่น (Local Geodetic Biases) เช่น:
- การเบี่ยงเบนของเส้นแนวดิ่ง (DoV)
- ความต่างระหว่าง geoid และ ellipsoid (geoid height)
ยังต้องอาศัยหลักการจากสถานีลาพลาสในการ สร้าง geoid model ที่แม่นยำระดับเซนติเมตร เช่น งานรังวัดระดับความสูงด้วย GNSS+Geoid