18, ธ.ค. 2024
แนวโน้มการวิจัยเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศเพื่อการจัดการภัยพิบัติในยุคปัจจุบัน

แนวโน้มการวิจัยเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศเพื่อการจัดการภัยพิบัติในยุคปัจจุบัน ได้ขยายตัวจากการใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) แบบดั้งเดิม ไปสู่การบูรณาการเทคโนโลยีขั้นสูงอื่น ๆ ที่มีศักยภาพในการตอบสนองต่อภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รายละเอียดเชิงลึกของแต่ละเทคโนโลยีมีดังนี้


1. เทคโนโลยีการสำรวจระยะไกล (Remote Sensing)

● แนวโน้มการวิจัย

  • การใช้ ภาพถ่ายจากดาวเทียมความละเอียดสูง (VHR Satellite Imagery) เพื่อวิเคราะห์ความเสียหายจากภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วม ดินถล่ม และไฟป่า
  • การใช้ ภาพเรดาร์ (SAR) ในการตรวจจับพื้นที่น้ำท่วมแม้ในสภาพเมฆหนาแน่น
  • การพัฒนา อัลกอริธึมการจำแนกแบบ Deep Learning เพื่อจำแนกพื้นที่เสียหายอัตโนมัติจากภาพถ่ายก่อนและหลังเหตุการณ์

ใช้ภาพถ่ายดาวเทียมและภาพถ่ายจากโดรนในการประเมินสถานการณ์ภัยพิบัติ เช่น การตรวจจับไฟป่า การติดตามน้ำท่วม หรือการวิเคราะห์ความเสียหายหลังเหตุการณ์ ภาพถ่ายดาวเทียมรายละเอียดสูงช่วยให้การประเมินความเสียหายรวดเร็วและแม่นยำ รวมถึงติดตามการเปลี่ยนแปลงของภูมิประเทศก่อนและหลังภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ


2. ระบบกำหนดตำแหน่งบนโลก (Global Navigation Satellite Systems: GNSS)

● แนวโน้มการวิจัย

  • การใช้ GNSS ร่วมกับ Mobile GIS เพื่อติดตามหน่วยกู้ภัย, รถพยาบาล, และอุปกรณ์ฉุกเฉิน
  • การติดตั้ง GNSS receivers ในระบบเฝ้าระวังภัยล่วงหน้า เช่น แผ่นดินไหวหรือภูเขาไฟ

ช่วยในการระบุตำแหน่งที่แม่นยำสำหรับการวางแผนและดำเนินการช่วยเหลือ รวมถึงการติดตามทรัพยากรและบุคลากรในพื้นที่เกิดภัยพิบัติ


3. Real-Time GIS Analytics

● แนวโน้มการวิจัย

  • การพัฒนาระบบ Data Fusion ระหว่างข้อมูลจากเซ็นเซอร์ IoT, โซเชียลมีเดีย, ภาพถ่ายโดรน และ GPS
  • การใช้ WebGIS แบบ Dashboard เพื่อแสดงสถานการณ์แบบ real-time เช่น ArcGIS Operations Dashboard หรือ QGIS+Live Data Plugin

การผสมผสานข้อมูลจากเซ็นเซอร์ ดาวเทียม โซเชียลมีเดีย และแหล่งข้อมูลอื่น ๆ เพื่อสร้างภาพสถานการณ์ปัจจุบันแบบทันที ช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถปรับแผนการตอบสนองได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ


4. การใช้โดรนร่วมกับ GIS

● แนวโน้มการวิจัย

  • การสร้าง 3D point clouds และ orthophotos จากภาพโดรนเพื่อทำ Damage Assessment
  • การใช้โดรนในการ สำรวจภูมิประเทศหลังเหตุการณ์เร็วกว่า 10 เท่า เมื่อเทียบกับการสำรวจภาคสนามแบบเดิม

โดรนถูกนำมาใช้ในการสำรวจพื้นที่ภัยพิบัติอย่างรวดเร็ว พร้อมสร้างแผนที่ 3 มิติและภาพความละเอียดสูง ช่วยในการประเมินความเสียหายและวางแผนการช่วยเหลือ


5. Cloud-Based GIS Platforms

● แนวโน้มการวิจัย

  • การใช้ GIS-as-a-Service (GaaS) เพื่อให้หลายหน่วยงานสามารถเข้าถึงแผนที่และข้อมูลแบบเรียลไทม์
  • การสร้าง Shared Geospatial Platforms เช่น Google Earth Engine (GEE) สำหรับการวิเคราะห์ภัยพิบัติข้ามพื้นที่หรือระดับภูมิภาค

ช่วยให้การจัดเก็บ ประมวลผล และเผยแพร่ข้อมูลภูมิสารสนเทศทำได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉินที่ต้องการความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน


6. เทคโนโลยีเสมือนจริงและเสริมจริง (VR/AR)

● แนวโน้มการวิจัย

  • การพัฒนา AR Smart Glasses ให้เจ้าหน้าที่สามารถเห็นตำแหน่งวัตถุสำคัญ (hydrants, exit routes) ขณะอยู่ในพื้นที่
  • การใช้ VR จำลองสถานการณ์ภัยพิบัติ เพื่อฝึกอบรมหน่วยกู้ภัยหรือประชาชน

มีการวิจัยเพื่อใช้เทคโนโลยี AR ในการแสดงข้อมูลภูมิสารสนเทศเชิงพื้นที่แบบเสมือนจริงแก่เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ เพื่อช่วยในการตัดสินใจและนำทางในสถานการณ์ภัยพิบัติ


การบูรณาการเทคโนโลยีเหล่านี้ในแต่ละขั้นตอนของการจัดการภัยพิบัติ

ขั้นตอนการจัดการภัยพิบัติเทคโนโลยีสนับสนุน
การเตรียมความพร้อมRS, GNSS, VR/AR
การเฝ้าระวังและแจ้งเตือนReal-Time GIS, GNSS
การตอบสนองDrones, Mobile GIS
การฟื้นฟูและประเมินความเสียหายRS, Cloud GIS, UAV Mapping

สรุปภาพรวม

แนวโน้มการวิจัยเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศเพื่อการจัดการภัยพิบัติ มุ่งเน้นไปที่การ เชื่อมโยงและบูรณาการหลายเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน เพื่อให้สามารถวิเคราะห์ ตัดสินใจ และดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพในสภาวะแวดล้อมที่ไม่แน่นอนและต้องการการตอบสนองที่รวดเร็ว การศึกษาวิจัยควรเน้นทั้งด้าน เทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูล และ ระบบสนับสนุนการตัดสินใจแบบบูรณาการ (DSS) เพื่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

การใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศในการจัดการภัยพิบัติในพื้นที่เมืองมีผลต่อการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพในหลายด้าน ดังนี้

  • การประเมินและวิเคราะห์ความเสี่ยงเชิงพื้นที่
    เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ เช่น GIS ช่วยให้สามารถวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงของพื้นที่เมืองได้อย่างแม่นยำ โดยพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เช่น ลักษณะภูมิประเทศ ความหนาแน่นของอาคาร ประชากร และโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้สามารถระบุพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงและวางแผนป้องกันได้ตรงจุด
  • การวางแผนและเตรียมความพร้อมก่อนเกิดเหตุ
    GIS สามารถบูรณาการข้อมูลจากหลายแหล่ง เช่น ภาพถ่ายดาวเทียม ข้อมูลจากโดรน และข้อมูล GNSS เพื่อสร้างแบบจำลองสถานการณ์ภัยพิบัติ ช่วยให้เจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมการรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การกำหนดเส้นทางอพยพ การจัดสรรทรัพยากร และการแจ้งเตือนประชาชน
  • การสนับสนุนการตัดสินใจและการตอบสนองในภาวะฉุกเฉิน
    ข้อมูลภูมิสารสนเทศช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถติดตามสถานการณ์ภัยพิบัติแบบเรียลไทม์ วิเคราะห์ผลกระทบ และวางแผนการดำเนินงานได้รวดเร็วและแม่นยำ ลดเวลาในการตอบสนองและเพิ่มประสิทธิภาพในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย
  • การฟื้นฟูและการบริหารจัดการหลังภัยพิบัติ
    เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศช่วยในการประเมินความเสียหายและวางแผนฟื้นฟูพื้นที่เมืองหลังเกิดภัยพิบัติ โดยใช้ข้อมูลเชิงพื้นที่เพื่อจัดลำดับความสำคัญในการซ่อมแซมและฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน
  • การเผยแพร่ข้อมูลและการสื่อสารที่รวดเร็ว
    GIS และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องสามารถเผยแพร่ข้อมูลสำคัญผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและแพลตฟอร์มออนไลน์ ช่วยให้ประชาชนและหน่วยงานต่าง ๆ ได้รับข้อมูลข่าวสารอย่างทันท่วงที เพิ่มความตระหนักรู้และความร่วมมือในการลดความเสี่ยง

สรุปได้ว่า การใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศในพื้นที่เมืองช่วยลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติได้โดยการเพิ่มความแม่นยำในการประเมินความเสี่ยง วางแผนเตรียมความพร้อม ตอบสนองเหตุการณ์ได้รวดเร็ว และสนับสนุนการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ

ใส่ความเห็น

Related Posts