16, เม.ย. 2010
บทที่ 6 : 6.1การวิเคราะห์ข้อมูลในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์

บทที่ ๖: การวิเคราะห์ข้อมูลในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์

(GIS Data Analysis)

๖.๑ บทนำ

การวิเคราะห์ข้อมูลในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System – GIS) เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ GIS แตกต่างจากโปรแกรมทั่วไปที่เน้นเพียงการจัดทำแผนที่ (Mapping Software) หรือการจัดการฐานข้อมูล (Database Management) เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง. ในระบบ GIS นั้นมีความสามารถในการรวมข้อมูล เชิงพื้นที่ (Spatial Data) และ ข้อมูลเชิงบรรยาย (Non-Spatial Data) เพื่อใช้ในการวิเคราะห์เชิงลึกที่สามารถตอบคำถามเชิงพื้นที่ในรูปแบบที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น.

การวิเคราะห์เชิงพื้นที่ (Spatial Analysis) ในระบบ GIS ช่วยให้นักวิเคราะห์สามารถประมวลผลความสัมพันธ์ของข้อมูลพื้นที่ต่าง ๆ (Spatial Relationships) เพื่อสร้างชุดข้อมูลใหม่ที่ตอบสนองต่อโจทย์เฉพาะ เช่น

การวิเคราะห์พื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการปลูกป่า อาจต้องใช้ข้อมูลหลายชั้น (multi-layer analysis) ได้แก่

  • ชั้นข้อมูลเขตป่าอนุรักษ์
  • ชั้นข้อมูลการใช้ที่ดิน
  • ชั้นข้อมูลความลาดชัน

ซึ่งการประมวลผลเหล่านี้จะต้องใช้การซ้อนทับข้อมูล (Overlay Analysis), การแบ่งเขต (Reclassification), หรือแม้กระทั่งการวิเคราะห์เชิงตรรกะ (Boolean Logic) ในการจัดกลุ่มพื้นที่ที่เข้าเงื่อนไข.

ทั้งนี้ การวิเคราะห์ข้อมูลในระบบ GIS ไม่ใช่เพียงแค่การดึงข้อมูลจากธีมเดียว (Single-theme Query) อย่างที่พบในการสืบค้นข้อมูลแบบดั้งเดิม แต่เป็นการ “วิเคราะห์ผสมผสานหลายชุดข้อมูลที่เกี่ยวข้อง” ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างแบบจำลองพื้นที่ (Spatial Modeling) ที่สามารถอธิบายสถานการณ์ทางกายภาพและสังคมในพื้นที่เป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตารางเปรียบเทียบ GIS กับ MIS และ DBMS

คุณสมบัติGIS (Geographic Information System)MIS (Management Information System)DBMS (Database Management System)
โครงสร้างข้อมูลหลักตารางข้อมูลเชิงพื้นที่ + เชิงบรรยายตารางข้อมูลเชิงธุรกิจตารางข้อมูลทั่วไป
ข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial Data)มี (จำเป็น)ไม่มีไม่มี
การเชื่อมโยงข้อมูลกับแผนที่สามารถเชื่อมโยงด้วยพิกัดภูมิศาสตร์ไม่มีไม่มี
การแสดงผลข้อมูลแผนที่, ตาราง, แผนภูมิตาราง, รายงานตาราง

ตารางเปรียบเทียบคุณลักษณะระหว่าง GIS, MIS, และ DBMS ได้แสดงไว้ด้านบนเพื่อช่วยให้เห็นความแตกต่างและขอบเขตการใช้งานของแต่ละระบบได้อย่างชัดเจน

นอกจากนี้ ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ยังสามารถตอบสนองการวิเคราะห์ในมิติของ “เหตุผลเชิงพื้นที่” (Why is it there?) ได้ ไม่ใช่เพียงคำถามเชิงตำแหน่ง (Where is it?) เท่านั้น โดยการวิเคราะห์ข้อมูลสามารถนำเสนอได้ในรูปแบบ:

  • ข้อมูลเชิงตัวเลข (Quantitative)
  • ข้อมูลภาพและแผนที่ (Map and Visual Models)
  • ข้อมูลสารสนเทศเชิงบูรณาการ (Integrated Decision Support)

อย่างไรก็ดี GIS เองไม่ใช่เครื่องมือที่มีสติปัญญา (intelligent tool) การวิเคราะห์ GIS จำเป็นต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญหรือบุคลากรที่มีความรู้ทั้งในด้านระบบ GIS และสาขาวิชาเฉพาะ เช่น ด้านสิ่งแวดล้อม ป่าไม้ เกษตร หรือผังเมือง เพื่อให้สามารถแปลผลและวินิจฉัยผลลัพธ์ได้อย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ

คุณภาพของการวิเคราะห์ GIS ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก ได้แก่

  • ความถูกต้องและความละเอียดของข้อมูล (Accuracy & Resolution)
  • ความเหมาะสมของมาตราส่วน (Scale Appropriateness)
  • ความรู้ความเข้าใจของบุคลากรในการกำหนดเงื่อนไขและตีความผลลัพธ์

ด้วยเหตุนี้ การใช้ GIS จึงต้องอาศัยทั้ง เทคโนโลยี, วิธีวิเคราะห์, และ มนุษย์ผู้ตัดสินใจ เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทางสารสนเทศที่ตอบโจทย์เป้าหมายได้อย่างแท้จริง

กรณีศึกษาเปรียบเทียบ ระบบสารสนเทศทางธุรกิจ (MIS) กับ ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) ในการ วางแผนผังเมือง สามารถแสดงให้เห็นถึงข้อได้เปรียบที่ชัดเจนของ GIS ในการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ที่ MIS ไม่สามารถตอบสนองได้อย่างเพียงพอ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้:


🏙️ กรณีศึกษาเปรียบเทียบ: MIS vs GIS ในการวางแผนเมือง

บริบทโครงการ

เมือง A ซึ่งเป็นเมืองขนาดกลางกำลังเผชิญกับปัญหาด้านการขยายตัวของเมืองที่รวดเร็ว ส่งผลต่อระบบจราจร การใช้ที่ดิน และความเหลื่อมล้ำทางบริการสาธารณะ หน่วยงานท้องถิ่นมีฐานข้อมูลจากสองระบบ ได้แก่:

  • MIS: ใช้จัดเก็บและสรุปข้อมูลเชิงสถิติเกี่ยวกับประชากร รายได้ ครัวเรือน การใช้จ่ายภาครัฐ ฯลฯ
  • GIS: ใช้จัดเก็บข้อมูลแผนที่, เขตผังเมือง, การใช้ที่ดิน, ความหนาแน่นประชากร และเครือข่ายถนนเชิงพื้นที่

การวิเคราะห์และการใช้งาน

ประเด็นวิเคราะห์MISGIS
ข้อมูลพื้นฐานข้อมูลตาราง เช่น จำนวนนักเรียน/โรงเรียนข้อมูลแผนที่ เช่น ตำแหน่งโรงเรียน, เขตบริการ
การแจกแจงความหนาแน่นของประชากรได้ในระดับสถิติเช่น เขตอำเภอแสดงได้แบบ heatmap หรือ density surface ในระดับพื้นที่ย่อย
การระบุตำแหน่งที่ดินเหมาะสมต่อการพัฒนาไม่สามารถระบุตำแหน่งได้ใช้ Multi-Criteria Overlay เพื่อวิเคราะห์พื้นที่เป้าหมาย
การวิเคราะห์ความเหลื่อมล้ำทางบริการสาธารณะวิเคราะห์เฉพาะจำนวนหน่วยบริการวิเคราะห์ accessibility ตามเส้นทางคมนาคมและระยะเวลาเดินทาง
แบบจำลองการเติบโตเมือง (Urban Expansion)ไม่รองรับสร้าง Urban Growth Model ด้วยการวิเคราะห์เชิงเวลาและพื้นที่
การสื่อสารผลลัพธ์ต่อผู้บริหารหรือประชาชนกราฟ ตาราง รายงานแผนที่เชิงโต้ตอบ, StoryMap, Dashboard

ผลลัพธ์ที่ได้

ด้านMISGIS
การเข้าถึงข้อมูลง่ายต่อการดึงข้อมูลตารางต้องใช้ความรู้เฉพาะทาง
การตัดสินใจเชิงพื้นที่ข้อจำกัดสูงมีศักยภาพสูงมาก
ความสามารถพยากรณ์และจำลองจำกัดรองรับการสร้างแบบจำลอง
การวางผังการพัฒนาเมืองไม่รองรับตำแหน่งจริงสามารถวิเคราะห์และกำหนดพื้นที่ได้

บทสรุป

ระบบ MIS เหมาะสำหรับการวิเคราะห์และจัดการ ข้อมูลเชิงปริมาณหรือการบริหารจัดการภายใน เช่น รายงานประจำเดือนหรือสถิติทางการเงิน แต่ไม่สามารถรองรับการวิเคราะห์ที่ต้องอิง “ตำแหน่งบนพื้นโลก” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในทางตรงกันข้าม GIS เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการวิเคราะห์เชิงพื้นที่, ซึ่งมีความเหมาะสมอย่างยิ่งในการวางแผนเมืองที่ต้องพิจารณาปัจจัยด้าน ตำแหน่ง, ระยะทาง, การเข้าถึง, และ การใช้ประโยชน์ที่ดิน ซึ่งต้องการมิติทางภูมิศาสตร์และแผนที่เข้ามาเกี่ยวข้อง

แบบจำลองเชิง GIS สำหรับการคาดการณ์การขยายตัวของเมือง (Urban Growth Simulation in GIS) เป็นเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์พลวัตของการพัฒนาเมือง โดยใช้ข้อมูลเชิงพื้นที่ควบคู่กับแบบจำลองทางคณิตศาสตร์หรือการเรียนรู้ของเครื่อง (machine learning) เพื่อคาดการณ์แนวโน้มการขยายตัวของพื้นที่เมืองในอนาคตภายใต้ปัจจัยกำกับต่าง ๆ


🔍 องค์ประกอบของแบบจำลอง Urban Growth Simulation

องค์ประกอบรายละเอียด
1. ข้อมูลพื้นที่เริ่มต้น (Base Land Use Data)แผนที่การใช้ประโยชน์ที่ดิน (Land Use Map) ที่มีการจำแนกประเภท เช่น พื้นที่เกษตรกรรม พื้นที่เมือง พื้นที่ป่า ฯลฯ
2. ปัจจัยกระตุ้นการเติบโตของเมือง (Driving Factors)เช่น ระยะห่างจากถนนหลัก ระยะจากศูนย์กลางเมือง ข้อมูลประชากร โครงสร้างพื้นฐาน ฯลฯ
3. ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงในอดีต (Historical Urban Change)เพื่อใช้ในการปรับเทียบโมเดลให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจริง
4. อัลกอริธึมหรือโมเดลจำลอง (Simulation Models)เช่น Cellular Automata (CA), Markov Chain, Artificial Neural Networks (ANN), Logistic Regression หรือ Agent-Based Models
5. ข้อมูลขอบเขตจำกัด (Constraints)เช่น เขตอนุรักษ์ พื้นที่ชุ่มน้ำ หรือเขตห้ามก่อสร้าง

🔧 กระบวนการจำลองการขยายตัวของเมืองด้วย GIS

  1. การรวบรวมข้อมูลเชิงพื้นที่: เช่น shapefile การใช้ที่ดิน DEM เส้นทางคมนาคม และข้อมูลเชิงคุณลักษณะจากหน่วยงานรัฐ (กรมที่ดิน, ทส., กรมโยธา)
  2. การสร้างโมเดลพื้นฐาน: เช่นใช้ Cellular Automata (CA) ซึ่งมีพื้นฐานคือเซลล์แต่ละหน่วยจะเปลี่ยนแปลงสถานะตามเพื่อนบ้าน
  3. การฝึกโมเดล (Model Calibration): นำข้อมูลในอดีตมาทดสอบว่าโมเดลสามารถคาดการณ์ได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงหรือไม่
  4. การคาดการณ์อนาคต: ใช้โมเดลที่ผ่านการปรับเทียบแล้วจำลองการขยายตัวในช่วงเวลาอนาคต เช่น ปี 2030, 2040
  5. การวิเคราะห์ผลกระทบ: ประเมินว่าการขยายตัวจะกระทบต่อพื้นที่เกษตร ป่าไม้ หรือทรัพยากรธรรมชาติใดบ้าง

📊 ผลลัพธ์ของแบบจำลอง

  • แผนที่การขยายตัวของเมืองในอนาคต
  • การวิเคราะห์พื้นที่สูญเสียทางการเกษตรหรือพื้นที่ป่า
  • การคาดการณ์ความหนาแน่นประชากร
  • ข้อมูลสนับสนุนการจัดทำ ผังเมืองรวม หรือ แนวทางพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน

🛠️ ซอฟต์แวร์และเครื่องมือที่ใช้

ซอฟต์แวร์ความสามารถ
QGIS/ArcGISการประมวลผลข้อมูลเชิงพื้นที่ และการใช้เครื่องมือ spatial analysis
TerrSet / IDRISIมีโมดูล Land Change Modeler สำหรับ CA-Markov
SLEUTH Modelแบบจำลองเฉพาะสำหรับการจำลอง Urban Growth ที่ได้รับความนิยม
Python + Scikit-learnสำหรับการประยุกต์ ML กับ Spatial Data

📘 ตัวอย่างกรณีศึกษา

พื้นที่ศึกษาวิธีที่ใช้ผลลัพธ์
กรุงเทพมหานครCA-Markov ใน ArcGISคาดการณ์พื้นที่ชุมชนเพิ่มขึ้น 18% ในปี 2040
จังหวัดเชียงใหม่ANN + GISวิเคราะห์ผลกระทบต่อพื้นที่ป่าเขตน้ำปิง
EIA พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมLogistic Regressionประเมินการขยายตัวแนวพื้นที่สีม่วงและปัจจัยดึงดูด

๖.๒ รูปแบบของการวิเคราะห์ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์

(GIS Data Analysis)

๖.๒.๑ ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์และระบบสารสนเทศอื่นๆ

ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System: GIS) มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากระบบสารสนเทศทั่วไป เช่น ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (Management Information System: MIS), ระบบสารสนเทศเชิงสถิติ (Statistical Information System), หรือระบบฐานข้อมูลทางธุรกิจอื่น ๆ ซึ่งความแตกต่างนี้สามารถอธิบายได้จาก ขอบเขตของข้อมูลที่รองรับและขีดความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่ (spatial data analysis capabilities)

จุดเด่นของ GIS คือ ความสามารถในการจัดเก็บ วิเคราะห์ และแสดงผลข้อมูลที่อ้างอิงกับตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ โดยระบบสามารถจัดการทั้งข้อมูลเชิงพื้นที่ (spatial data) เช่น แผนที่ เขตการปกครอง เส้นทาง ถนน ลุ่มน้ำ และข้อมูลเชิงคุณลักษณะ (attribute data) เช่น ประเภทของที่ดิน จำนวนประชากร หรือระดับรายได้ ซึ่งเชื่อมโยงกันผ่านโครงสร้างเชิงสัมพันธ์ที่มีพิกัดเป็นแกนหลัก

ขณะที่ ระบบสารสนเทศทั่วไป สามารถทำหน้าที่เก็บและวิเคราะห์ข้อมูลที่ไม่จำเป็นต้องมีการอ้างอิงเชิงภูมิศาสตร์ เช่น ระบบฐานข้อมูลบุคลากร หรือระบบบัญชี ที่วิเคราะห์เชิงสถิติได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ ไม่สามารถตอบคำถามทางพื้นที่ เช่น “อะไรอยู่ที่ไหน?” หรือ “ความสัมพันธ์ของพื้นที่กับคุณลักษณะใด ๆ มีลักษณะเช่นไร?”

ผลลัพธ์จากการวิเคราะห์ในระบบ GIS จึงสามารถแสดงออกได้ทั้งในรูปแบบของ

  • แผนที่ (Map Output): ซึ่งแสดงการกระจายของปรากฏการณ์หรือวัตถุตามพื้นที่
  • ข้อมูลตาราง (Tabular Result): สำหรับสืบค้นและวิเคราะห์เชิงปริมาณ
  • กราฟ หรืออินโฟกราฟิก: ที่ช่วยอธิบายความสัมพันธ์ของข้อมูลได้อย่างเข้าใจง่าย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง GIS มีความสามารถในการ วิเคราะห์เชิงสัมพันธ์ทางพื้นที่ (Spatial Relationship Analysis) เช่น ความใกล้เคียง (proximity), การซ้อนทับ (overlay), และ ความเชื่อมโยงของโครงข่าย (network connectivity) ซึ่งระบบอื่นไม่สามารถดำเนินการได้โดยตรง

ดังนั้น GIS จึงถือเป็น ระบบสารสนเทศแบบบูรณาการ ที่สามารถเชื่อมโยง “ข้อมูลเชิงพื้นที่” กับ “ข้อมูลเชิงคุณลักษณะ” เพื่อวิเคราะห์และสังเคราะห์ให้ได้ องค์ความรู้ (Knowledge) ที่สามารถสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบายหรือการบริหารจัดการพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำ

๖.๒.๒ การวิเคราะห์ด้วย GIS และการวิเคราะห์ข้อมูลแบบดั้งเดิม

การวิเคราะห์ข้อมูล GIS แตกต่างจากทางสถิติ เพราะ GIS สามารถทำงานโดยอาศัยคุณสมบัติทางแผนที่ของข้อมูล และผลลัพธ์ที่สามารถแทนด้วยแผนที่เพื่อการวิเคราะห์ด้วยสายตา (Visual Analysis)

ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์สามารถให้ผลลัพธ์ในรูปแแผนที่โดยใช้ระบบพิกัด โดยใช้ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ให้มีความสัมพันธ์กับข้อมูลเชิงพื้นที่ ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์สามารถนำค่าจากสถิติมาใช้ร่วมกับระบบ GIS ได้และแสดงผลออกมาในรูปแบบแผนที่

การวิเคราะห์เชิงพื้นที่ (spatial analysis) เมื่อเปรียบเทียบกับ “การทำแผนที่” (map) การวิเคราะห์เชิงพื้นที่จะสามารถใช้ข้อมูลที่หลากหลายกว่า เพื่อใช้ในการวิเคราะห์และคาดการณ์อนาคต หรือสร้างผลลัพธ์ในรูปแผนที่ที่เรายังคาดการณ์ไม่ถึง เช่น การใช้แบบจำลอง (model) สามารถช่วยอธิบายและคาดการณ์หลังจากการวิเคราะห์ GIS

การประมวลผลทางสถิติของ GIS โดยส่วนใหญ่จะใช้การเรียกค้นข้อมูลและดัดแปลงข้อมูล เช่น การทำ Buffer และการกระจายตัว หรือ การจัดกระทำกับข้อมูลเชิงบรรยายด้วยคำสั่งตรรกศาาตร์

ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ จะมีงานหลักคือจะสร้างกลุ่มข้อมูลทางสถิติเชิงพื้นที่ และมีเครื่องมือในการสืบค้นหาความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ และสำหรับการทำแบบจำลองเพื่อใช้ทำงานร่วมกันใน GIS

ตารางเปรียบเทียบ GIS กับ Traditional Analysis

หัวข้อเปรียบเทียบการวิเคราะห์แบบดั้งเดิม (Traditional Analysis)การวิเคราะห์เชิง GIS (GIS Analysis)
ความสามารถในการจำลองอนาคตจำกัด, ส่วนใหญ่เป็นแนวโน้มเชิงตัวเลขรองรับแบบจำลองเชิงพื้นที่ เช่น CA-Markov
ความสามารถในการวิเคราะห์หลายชั้นข้อมูลยากต่อการวิเคราะห์พร้อมกันสามารถรวมหลายชั้นข้อมูลเชิงพื้นที่ได้
การแสดงผลแบบแผนที่ไม่รองรับรองรับอย่างสมบูรณ์
การวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงตำแหน่งไม่สามารถวิเคราะห์ตำแหน่งเชิงสัมพันธ์ได้
การสื่อสารเชิงภาพใช้กราฟหรือแผนภูมิทั่วไปสื่อสารด้วยแผนที่เชิงโต้ตอบ

แสดงผลตารางเปรียบเทียบระหว่าง การวิเคราะห์แบบดั้งเดิม (Traditional Analysis) กับ การวิเคราะห์เชิง GIS (GIS Analysis)

ใส่ความเห็น

Related Posts