16, เม.ย. 2010
บทที่ 3 : 3.3 ลักษณะข้อมูลเชิงพื้นที่

บทที่ ๓ ลักษณะของข้อมูลในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์

(Chapter 3: Characteristics of GIS Information)

๓.๓ ลักษณะข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial Characteristics)

ลักษณะข้อมูลเชิงพื้นที่มีประโยชน์อย่างไรในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์

ข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial Data) เป็นหัวใจสำคัญของระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้สามารถอ้างอิงตำแหน่งที่ตั้งจริงบนพื้นผิวโลกได้อย่างแม่นยำผ่านระบบพิกัดทางภูมิศาสตร์ ซึ่งส่งผลให้ GIS มีความสามารถในการรวบรวม วิเคราะห์ และนำเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประโยชน์หลักของข้อมูลเชิงพื้นที่ในระบบ GIS ได้แก่

  • การเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์และตัดสินใจ
    ข้อมูลเชิงพื้นที่ช่วยให้การวิเคราะห์มีความแม่นยำสูงขึ้น เนื่องจากสามารถระบุพิกัดตำแหน่งที่แน่นอนของวัตถุหรือเหตุการณ์ต่างๆ ได้ เช่น การวางแผนใช้ที่ดิน การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ หรือการประเมินความเสี่ยงภัยพิบัติ
  • การจัดการและวางแผนทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
    GIS ใช้ข้อมูลเชิงพื้นที่ในการระบุ วิเคราะห์ และติดตามทรัพยากรต่างๆ เช่น น้ำ ป่าไม้ และพื้นที่เกษตรกรรม ช่วยให้การจัดสรรและใช้ทรัพยากรเป็นไปอย่างเหมาะสมและยั่งยืน
  • การสนับสนุนการตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล
    การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่ช่วยให้ผู้บริหารและหน่วยงานต่างๆ สามารถประเมินสถานการณ์และผลกระทบในเชิงพื้นที่ได้ดีขึ้น เช่น การวางแผนรับมือภัยธรรมชาติ การจัดการจราจร หรือการพัฒนาพื้นที่เมือง
  • การสร้างภาพและการนำเสนอข้อมูลที่เข้าใจง่าย
    ข้อมูลเชิงพื้นที่ช่วยให้สามารถสร้างแผนที่และภาพจำลอง 3 มิติที่แสดงความสัมพันธ์และรูปแบบของข้อมูลในเชิงพื้นที่ได้อย่างชัดเจน ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจข้อมูลได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
  • การเพิ่มความปลอดภัยและการจัดการเหตุฉุกเฉิน
    GIS ใช้ข้อมูลเชิงพื้นที่ในการระบุพื้นที่เสี่ยงภัย สร้างแผนที่เส้นทางอพยพ และติดตามสถานการณ์แบบเรียลไทม์ ช่วยให้การตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉินเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิผล
  • การลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
    เทคโนโลยี GIS ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเก็บรวบรวมข้อมูลและการสำรวจพื้นที่ รวมถึงช่วยปรับปรุงกระบวนการทำงาน เช่น การจัดการทรัพย์สินและการวางแผนโครงการต่างๆ

สรุป
ลักษณะข้อมูลเชิงพื้นที่ในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยให้การจัดการ วิเคราะห์ และนำเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งบนพื้นโลกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำ ส่งผลให้ GIS เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการสนับสนุนการตัดสินใจ วางแผน และแก้ไขปัญหาต่างๆ ในหลากหลายสาขา ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม การจัดการทรัพยากร การวางผังเมือง และการบริหารจัดการเหตุฉุกเฉิน

ข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial Data) เป็นหัวใจสำคัญของระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) ซึ่งเกี่ยวข้องกับตำแหน่งบนพื้นผิวโลก ข้อมูลประเภทนี้จำเป็นต้องมีโครงสร้างที่สามารถอ้างอิงถึงพิกัดได้อย่างชัดเจน โดยทั่วไปแล้ว รูปแบบของตัวแทนข้อมูลเชิงพื้นที่ สามารถจำแนกออกเป็น ๒ ประเภทหลัก ได้แก่ แบบราสเตอร์ (Raster) และ แบบเวกเตอร์ (Vector) ซึ่งแต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะและเหมาะสมกับลักษณะของข้อมูลที่แตกต่างกัน


๑. การแทนข้อมูลแบบราสเตอร์ (Raster Representation)

รูปแบบ Raster หรือที่รู้จักกันว่า Grid Representation คือการแบ่งพื้นที่ออกเป็นช่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่เรียกว่า Cell หรือ Pixel (Picture Element) โดยแต่ละ Cell จะมีตำแหน่งเฉพาะในระบบพิกัด ซึ่งอ้างอิงจากลำดับแถว (row) และสดมภ์ (column) บนตาราง (Grid)

โครงสร้างของข้อมูลแบบราสเตอร์จะจัดเก็บค่าในแต่ละ Cell เป็นตัวเลข เช่น ค่าระดับความสูง อุณหภูมิ ความชื้น หรือค่าเชิงคุณลักษณะอื่น ๆ ซึ่งสามารถแสดงเป็นภาพได้อย่างต่อเนื่อง เช่น ภาพถ่ายดาวเทียม หรือข้อมูลจากการสแกนแผนที่

ความละเอียดของข้อมูลราสเตอร์ ขึ้นอยู่กับ ขนาดของ Cell (Cell Size) กล่าวคือ Cell ยิ่งมีขนาดเล็ก ก็ยิ่งแสดงรายละเอียดของพื้นที่ได้มาก แต่ก็ต้องแลกมาด้วยขนาดของข้อมูลที่ใหญ่ขึ้น

ข้อได้เปรียบของข้อมูลแบบ Raster ได้แก่

  • การประมวลผลข้อมูลเชิงพื้นที่ที่รวดเร็ว
  • เหมาะสมกับการวิเคราะห์พื้นที่ต่อเนื่อง เช่น การคำนวณค่าความลาดชัน การไหลของน้ำ หรือการจำแนกภาพถ่ายดาวเทียม

อย่างไรก็ตาม การแปลงข้อมูลจากรูปแบบ Vector ไปเป็น Raster หรือในทางกลับกัน อาจทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความละเอียดของ Cell และวิธีการแปลงข้อมูลที่ใช้

ตัวอย่างข้อมูลแบบ Raster ได้แก่ แผนที่การใช้ที่ดินจากภาพถ่ายดาวเทียม แผนที่ความสูงจาก Digital Elevation Model (DEM) เป็นต้น


๒. การแทนข้อมูลแบบเวกเตอร์ (Vector Representation)

รูปแบบ Vector ใช้ ค่าพิกัดเชิงเรขาคณิต เพื่อแทนตำแหน่งของข้อมูลเชิงพื้นที่ โดยอิงจากระบบพิกัดคาร์ทีเซียน (Cartesian Coordinate System) ซึ่งมีพิกัด X, Y (และอาจรวมถึง Z สำหรับข้อมูล 3 มิติ)

ข้อมูลแบบเวกเตอร์สามารถแสดงเป็น

  • จุด (Point): ใช้เพียงพิกัดเดียว เช่น ตำแหน่งบ้าน ต้นไม้ หรือจุดเกิดเหตุ
  • เส้น (Line): ใช้พิกัดสองจุดหรือมากกว่า เช่น ถนน ทางรถไฟ แม่น้ำ ลำคลอง
  • พื้นที่หรือรูปหลายเหลี่ยม (Polygon): ต้องใช้พิกัดอย่างน้อยสามจุดขึ้นไป และจุดเริ่มต้นกับจุดสิ้นสุดจะต้องตรงกัน เพื่อกำหนดขอบเขตของพื้นที่ เช่น เขตตำบล เขตจังหวัด หรือแปลงที่ดิน

ข้อได้เปรียบของข้อมูลแบบ Vector ได้แก่

  • ความแม่นยำในการระบุขอบเขตและระยะทาง
  • การใช้พื้นที่จัดเก็บน้อยกว่าราสเตอร์
  • เหมาะกับข้อมูลที่เป็นเชิงโครงสร้าง เช่น เครือข่ายถนน การปกครอง หรือเส้นทางคมนาคม

บทสรุป

ข้อมูลเชิงพื้นที่ในระบบ GIS มีสองรูปแบบที่สำคัญ ได้แก่ Raster และ Vector ซึ่งแต่ละรูปแบบมีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ที่ต่างกัน ข้อมูล Raster เหมาะกับการวิเคราะห์ที่เน้นต่อเนื่องของพื้นที่ ขณะที่ Vector เหมาะกับข้อมูลที่มีโครงสร้างแน่นอน เช่น เส้นทาง ขอบเขต และตำแหน่งจุด

การเลือกใช้รูปแบบข้อมูลจึงควรพิจารณาจาก วัตถุประสงค์ของการใช้งาน ความละเอียดของข้อมูล และขีดความสามารถของระบบ GIS ที่ใช้ร่วมด้วย

การใช้ข้อมูลราสเตอร์ (Raster) และข้อมูลเวกเตอร์ (Vector) มีผลต่อความแม่นยำอย่างไร

ข้อมูลเชิงพื้นที่ในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) มีสองรูปแบบหลัก คือ ข้อมูลราสเตอร์ และ ข้อมูลเวกเตอร์ ซึ่งแต่ละรูปแบบมีลักษณะเฉพาะและส่งผลต่อความแม่นยำของข้อมูลแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ

ข้อมูลราสเตอร์ (Raster Data)

ข้อมูลราสเตอร์ประกอบด้วยชุดของเซลล์หรือพิกเซลที่จัดเรียงในรูปแบบตาราง โดยแต่ละเซลล์มีค่าตัวเลขแทนข้อมูล ณ ตำแหน่งนั้น ข้อดีของข้อมูลราสเตอร์คือสามารถแสดงรายละเอียดของข้อมูลที่ต่อเนื่อง เช่น ภาพถ่ายดาวเทียม หรือข้อมูลระดับความสูง ได้อย่างสมจริงและละเอียดสูง ขนาดของเซลล์ (Resolution) เป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดความแม่นยำของข้อมูลราสเตอร์ ยิ่งเซลล์มีขนาดเล็ก ความละเอียดและความแม่นยำก็จะสูงขึ้น แต่จะทำให้ขนาดไฟล์ใหญ่และใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลราสเตอร์มีข้อจำกัดในเรื่องความแม่นยำเชิงตำแหน่ง เนื่องจากตำแหน่งของวัตถุถูกประมาณโดยเซลล์ที่มีขนาดจำกัด และเมื่อมีการขยายภาพเกินความละเอียดเดิม จะเกิดการแตกของพิกเซล (Pixelation) ทำให้สูญเสียความคมชัดและความแม่นยำ

ข้อมูลเวกเตอร์ (Vector Data)

ข้อมูลเวกเตอร์แทนข้อมูลเชิงพื้นที่ด้วยจุด เส้น และพื้นที่ที่กำหนดโดยชุดพิกัดที่แม่นยำในระบบพิกัดคาร์ทีเซียน ข้อมูลเวกเตอร์มีความแม่นยำสูงในเชิงตำแหน่งและรูปร่างของวัตถุ เนื่องจากใช้พิกัดที่เจาะจงและสามารถแสดงขอบเขตหรือเส้นโค้งได้อย่างชัดเจน

ข้อดีของข้อมูลเวกเตอร์คือสามารถปรับขนาดได้โดยไม่สูญเสียความคมชัด และเหมาะสำหรับการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ที่ต้องการความละเอียดและความถูกต้องสูง เช่น การวิเคราะห์เครือข่ายถนน หรือการกำหนดขอบเขตพื้นที่ปกครอง

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเวกเตอร์อาจมีความซับซ้อนในการจัดการและประมวลผล โดยเฉพาะในกรณีที่ข้อมูลมีจำนวนมากหรือมีโครงสร้างที่ซับซ้อน

ผลกระทบต่อความแม่นยำของข้อมูล GIS

ประเภทข้อมูลผลต่อความแม่นยำ
ราสเตอร์– ความแม่นยำเชิงตำแหน่งจำกัดโดยขนาดเซลล์
– เหมาะกับข้อมูลต่อเนื่องและรายละเอียดสีสูง
– ความละเอียดขึ้นอยู่กับขนาดเซลล์ หากเซลล์ใหญ่ ความแม่นยำลดลง
– การขยายภาพเกินความละเอียดเดิมทำให้สูญเสียความคมชัด
เวกเตอร์– ความแม่นยำเชิงตำแหน่งสูง ใช้พิกัดที่เจาะจง
– เหมาะกับข้อมูลที่มีขอบเขตชัดเจน เช่น จุด เส้น และพื้นที่
– ปรับขนาดได้โดยไม่สูญเสียความคมชัด
– การจัดการข้อมูลซับซ้อนและใช้ทรัพยากรมากขึ้นในบางกรณี

สรุป
การเลือกใช้ข้อมูลราสเตอร์หรือเวกเตอร์มีผลโดยตรงต่อความแม่นยำของข้อมูล GIS ขึ้นอยู่กับลักษณะของข้อมูลและวัตถุประสงค์การใช้งาน ข้อมูลราสเตอร์เหมาะกับการแสดงข้อมูลที่ต่อเนื่องและรายละเอียดสีสูง แต่มีข้อจำกัดเรื่องความแม่นยำเชิงตำแหน่ง ขณะที่ข้อมูลเวกเตอร์เหมาะกับการแสดงข้อมูลที่มีขอบเขตชัดเจนและต้องการความแม่นยำสูงในเชิงตำแหน่ง แต่มีความซับซ้อนในการจัดการมากกว่า

การเข้าใจข้อดีข้อจำกัดของแต่ละรูปแบบจะช่วยให้ผู้ใช้ GIS สามารถเลือกใช้ข้อมูลได้อย่างเหมาะสมและเพิ่มประสิทธิภาพในการวิเคราะห์และตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น

๓.๓ ลักษณะของข้อมูลเชิงพื้นที่ในรูปแบบเวกเตอร์ (Vector-Based Spatial Features)

ในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System: GIS) การแทนข้อมูลเชิงพื้นที่ในรูปแบบ เวกเตอร์ (Vector) ถือเป็นโครงสร้างข้อมูลที่สำคัญ เนื่องจากสามารถอ้างอิงตำแหน่งด้วยค่าพิกัดทางเรขาคณิตอย่างแม่นยำ โดยข้อมูลในรูปแบบเวกเตอร์นั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น ๓ รูปแบบหลัก ได้แก่ จุด (Point), เส้น (Line) และพื้นที่ (Polygon) ซึ่งเรียกรวมกันว่า คุณลักษณะเชิงภูมิศาสตร์ (Spatial Features) แต่ละรูปแบบมีลักษณะเฉพาะที่สะท้อนถึงวัตถุหรือปรากฏการณ์ในสภาพภูมิประเทศได้แตกต่างกัน


(1) รูปแบบของจุด (Point Features)

ข้อมูลในรูปแบบ จุด ใช้เพื่อแทนตำแหน่งของสิ่งที่ไม่มีมิติด้านพื้นที่หรือมีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับมาตราส่วนของแผนที่ เช่น ตำแหน่งสถานีตรวจวัดปริมาณน้ำฝน, ที่ตั้งหมู่บ้าน, หรือจุดเกิดอุบัติเหตุ จุดแต่ละจุดระบุโดยพิกัด X, Y (และในบางกรณี Z) ในระบบพิกัดคาร์ทีเซียน ข้อมูลประเภทนี้จะไม่แสดงขนาดหรือทิศทางของวัตถุ แต่ใช้เพียงเพื่อแสดง ตำแหน่งที่ตั้ง เท่านั้น


(2) รูปแบบของเส้น (Line Features)

ข้อมูลในรูปแบบ เส้น ใช้สำหรับแสดงวัตถุที่มีความยาวมากกว่าความกว้าง เช่น ถนน แม่น้ำ ทางรถไฟ หรือเส้นขอบเขต เส้นหนึ่งเส้นประกอบด้วยชุดของพิกัดที่เรียงต่อกัน โดยจุดพิกัดตั้งแต่สองจุดขึ้นไปจะถูกเชื่อมโยงกันเป็นเส้นตรงหรือเส้นโค้ง ความหมายของเส้นใน GIS มิใช่เพียงเส้นเรขาคณิตธรรมดา แต่ยังอาจสื่อถึงคุณลักษณะเฉพาะ เช่น ทิศทางการไหลของน้ำ ความกว้างของถนน หรือประเภทของลำน้ำ ซึ่งสามารถแสดงได้ผ่านข้อมูลเชิงคุณลักษณะที่เชื่อมโยงกับเส้นนั้น


(3) รูปแบบของพื้นที่ (Polygon Features)

รูปแบบ พื้นที่ หรือ โพลีกอน (Polygon) เป็นการแทนวัตถุหรือปรากฏการณ์ที่มีขอบเขตชัดเจนและมีเนื้อที่ เช่น เขตการปกครอง พื้นที่ป่า พื้นที่เพาะปลูก พื้นที่น้ำท่วม เป็นต้น การสร้างโพลีกอนจะต้องใช้จุดพิกัดตั้งแต่สามจุดขึ้นไป และจุดเริ่มต้นต้องตรงกับจุดสิ้นสุด เพื่อให้ได้เส้นรอบวงที่ปิดล้อมพื้นที่ ภายในโพลีกอนแต่ละแห่งสามารถบันทึกข้อมูลเชิงคุณลักษณะเพิ่มเติม เช่น รหัสพื้นที่ ชื่อพื้นที่ ประเภทการใช้ที่ดิน หรือค่าความชื้นของดิน เป็นต้น


การใช้ข้อมูลเวกเตอร์ในการแสดงแผนที่มีประโยชน์อย่างไร

ข้อมูลเวกเตอร์ (Vector Data) เป็นรูปแบบข้อมูลเชิงพื้นที่ที่ใช้ จุด (Point)เส้น (Line) และ พื้นที่รูปปิด (Polygon) เพื่อแทนลักษณะทางภูมิศาสตร์อย่างแม่นยำ โดยมีประโยชน์สำคัญในการแสดงแผนที่และวิเคราะห์ข้อมูล GIS ดังนี้

1. ความแม่นยำเชิงตำแหน่งสูง
ข้อมูลเวกเตอร์ใช้พิกัดเชิงตัวเลข (X, Y, และบางครั้ง Z) ในการระบุตำแหน่งของวัตถุบนพื้นผิวโลก ทำให้สามารถแสดงตำแหน่งและรูปร่างของวัตถุได้อย่างละเอียดและถูกต้อง เช่น การแสดงขอบเขตเขตการปกครอง ถนน หรือแม่น้ำ ด้วยความแม่นยำสูงกว่าข้อมูลแบบราสเตอร์

2. การแสดงข้อมูลเชิงโครงสร้างและความสัมพันธ์ (Topology)
ข้อมูลเวกเตอร์สามารถจัดการความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ระหว่างวัตถุต่างๆ ได้ เช่น การเชื่อมต่อของถนน การครอบคลุมของพื้นที่ หรือการแบ่งเขตอย่างชัดเจน ซึ่งช่วยให้การวิเคราะห์เชิงพื้นที่ เช่น การหาทางเดินที่สั้นที่สุด หรือการวิเคราะห์เครือข่าย มีความถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

3. ขนาดไฟล์กะทัดรัดและประหยัดพื้นที่จัดเก็บ
ข้อมูลเวกเตอร์มีโครงสร้างที่กะทัดรัดกว่า ทำให้ใช้พื้นที่จัดเก็บน้อยกว่าข้อมูลราสเตอร์ในกรณีที่แสดงวัตถุที่มีขอบเขตชัดเจน ส่งผลให้การจัดการข้อมูลและการประมวลผลรวดเร็วขึ้น

4. ความยืดหยุ่นในการปรับขนาดและการแสดงผล
ข้อมูลเวกเตอร์สามารถปรับขนาด (scaling) ได้โดยไม่สูญเสียความคมชัดหรือความถูกต้องของรูปทรง ซึ่งเหมาะสำหรับการแสดงแผนที่ในมาตราส่วนต่างๆ ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับประเทศ

5. การผูกโยงข้อมูลเชิงคุณลักษณะ (Attribute Data)
ข้อมูลเวกเตอร์สามารถเชื่อมโยงกับข้อมูลตาราง (Attribute Table) ที่บรรยายลักษณะหรือคุณสมบัติของวัตถุแต่ละชิ้นได้อย่างชัดเจน เช่น ข้อมูลประชากรในเขตพื้นที่ ข้อมูลประเภทถนน หรือข้อมูลการใช้ที่ดิน ซึ่งช่วยให้การวิเคราะห์และการนำเสนอข้อมูลมีความสมบูรณ์และหลากหลาย

6. การสนับสนุนการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ที่ซับซ้อน
ข้อมูลเวกเตอร์เหมาะสมกับการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ที่ต้องการความละเอียดและความถูกต้องสูง เช่น การวิเคราะห์เครือข่ายถนน การวางผังเมือง การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และการวางแผนโครงสร้างพื้นฐาน

สรุป
การใช้ข้อมูลเวกเตอร์ในการแสดงแผนที่ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการระบุตำแหน่งและรูปร่างของวัตถุทางภูมิศาสตร์ พร้อมทั้งสนับสนุนการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ที่ซับซ้อนด้วยโครงสร้างข้อมูลที่มีความยืดหยุ่นและประหยัดพื้นที่จัดเก็บ ทำให้ข้อมูลเวกเตอร์เป็นเครื่องมือสำคัญในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์สำหรับการจัดการและวางแผนในหลากหลายสาขา

ความแตกต่างระหว่างรูปแบบเวกเตอร์และราสเตอร์

แม้ว่า ข้อมูลแบบเวกเตอร์และราสเตอร์ จะสามารถแสดงข้อมูลในลักษณะเดียวกันได้ ได้แก่ จุด (Point) เส้น (Line) และ พื้นที่ (Polygon) แต่มีข้อแตกต่างในเชิงโครงสร้างและการแสดงผลดังนี้:

  • ข้อมูลแบบ เวกเตอร์ จะระบุตำแหน่งผ่านพิกัด X, Y, และ Z โดยไม่มีขนาดเฉพาะเจาะจง กล่าวคือ จุดในเวกเตอร์มีเพียงตำแหน่ง ไม่ระบุพื้นที่หรือความกว้าง
  • ข้อมูลแบบ ราสเตอร์ (Raster) แต่ละจุดจะเป็น พิกเซล (Pixel) ที่มีขนาดคงที่ เช่น ข้อมูลจากดาวเทียม LANDSAT TM ซึ่งมีขนาดพิกเซล 30 เมตร x 30 เมตร ทำให้แต่ละพิกเซลแสดงพื้นที่ที่แน่นอน

ดังนั้น จุดในแบบเวกเตอร์จึงเหมาะกับข้อมูลที่ต้องการตำแหน่งแม่นยำ ขณะที่จุดในแบบราสเตอร์เหมาะกับการวิเคราะห์พื้นที่ที่มีความต่อเนื่อง เช่น ด้านสิ่งแวดล้อมหรือธรณีวิทยา


ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลเชิงคุณลักษณะและข้อมูลเชิงพื้นที่

ข้อมูล Attribute และ Spatial มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดในระบบ GIS โดยสามารถเชื่อมโยงกันได้ทั้งแบบ ต่อเนื่อง (Continuous) และ ไม่ต่อเนื่อง (Discrete) ยกตัวอย่างเช่น:

  • แผนที่ภูมิประเทศ (Topographic Map) ซึ่งแสดงเส้นชั้นความสูง เป็นข้อมูลที่มีความต่อเนื่องตามระดับความสูงของภูมิประเทศ
  • ในขณะที่ จำนวนประชากรในแต่ละพื้นที่ จะแสดงลักษณะความสัมพันธ์แบบไม่ต่อเนื่อง เนื่องจากประชากรมีการกระจายตัวไม่สม่ำเสมอและขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อม เช่น ความสูงจากระดับน้ำทะเล ความสะดวกในการคมนาคม หรือการใช้ที่ดิน

การเลือกแสดงลักษณะข้อมูลตามมาตราส่วนของแผนที่

ในการแสดงข้อมูลภูมิประเทศหรือสิ่งปลูกสร้างบนแผนที่ การเลือกใช้รูปแบบ จุด, เส้น, หรือ พื้นที่ จะขึ้นอยู่กับ มาตราส่วนของแผนที่ เช่น:

  • ในแผนที่ขนาดใหญ่ (Large-scale) เช่น มาตราส่วน 1:4,000 สถานีวัดปริมาณน้ำฝน อาจแสดงเป็น โพลีกอน เพราะมีพื้นที่จริงที่สามารถแสดงได้
  • แต่ในแผนที่ขนาดเล็ก (Small-scale) เช่น มาตราส่วน 1:50,000 สถานีเดียวกันนั้น อาจถูกแทนด้วย จุด เนื่องจากขนาดเล็กเกินกว่าจะวาดเป็นพื้นที่ได้

ดังนั้น การออกแบบการแสดงผลแผนที่จึงควรพิจารณา ขนาดพื้นที่จริง, ความละเอียดของข้อมูล, และ วัตถุประสงค์ในการสื่อความหมาย เป็นสำคัญ

การแปลงข้อมูลเวกเตอร์เป็นข้อมูลราสเตอร์ (Vector-to-Raster Conversion)
เป็นกระบวนการสำคัญในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) โดยเฉพาะเมื่อต้องการประมวลผลข้อมูลในลักษณะต่อเนื่อง เช่น การวิเคราะห์พื้นที่ในเชิงอนุกรม การจำลองแบบภูมิประเทศ หรือการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม บทนี้ขอนำเสนอในรูปแบบเชิงวิชาการ ดังนี้:


🔍 หลักการทั่วไปของการแปลงข้อมูลเวกเตอร์เป็นราสเตอร์

ข้อมูลเวกเตอร์ (Vector Data) เป็นข้อมูลที่ระบุตำแหน่งของวัตถุโดยใช้พิกัดทางเรขาคณิต (X, Y และบางครั้ง Z) ประกอบด้วย จุด (Point), เส้น (Line) และ พื้นที่ (Polygon) ขณะที่ ข้อมูลราสเตอร์ (Raster Data) แสดงข้อมูลในรูปแบบของ กริด (Grid) หรือ พิกเซล (Pixel) แต่ละพิกเซลมีค่าเชิงคุณลักษณะ (Attribute Value) ประจำจุดนั้น

การแปลง (Conversion) เป็นการกำหนดให้แต่ละพิกเซลในราสเตอร์รับข้อมูลจากวัตถุเวกเตอร์ที่พิกเซลนั้นครอบคลุมหรือสัมผัสอยู่ โดยต้องระบุ ความละเอียดเชิงพื้นที่ (cell size) และ ค่าคุณลักษณะของข้อมูล (attribute value) ที่จะนำมาแทนในพิกเซล


🧮 ขั้นตอนทั่วไปในการแปลงข้อมูลเวกเตอร์เป็นราสเตอร์

1. กำหนดขนาดพิกเซล (Cell Size)

เป็นการกำหนดความละเอียดของข้อมูลราสเตอร์ เช่น 10×10 เมตร หรือ 30×30 เมตร ขนาดพิกเซลที่เล็กจะให้รายละเอียดที่ชัดเจนมากขึ้น แต่ใช้หน่วยความจำมากกว่า

2. เลือกคุณลักษณะที่ต้องการใช้แสดงค่า (Attribute Field)

ข้อมูลเวกเตอร์มักประกอบด้วยตารางคุณลักษณะ (Attribute Table) จึงต้องระบุว่า จะนำ field ใด เช่น รหัสประเภทที่ดิน หรือความสูง มาใช้กำหนดค่าของพิกเซลในราสเตอร์

3. เลือกวิธีการกำหนดค่าพิกเซล (Cell Assignment Method)

  • Point-to-Raster: จุดที่ตกอยู่ในแต่ละพิกเซล จะนำค่าของจุดนั้นไปเป็นค่าของพิกเซลนั้นโดยตรง
  • Line-to-Raster: เส้นที่ตัดผ่านพิกเซลจะทำให้พิกเซลนั้นมีค่า (ใช้ศูนย์กลาง หรือการชนขอบ)
  • Polygon-to-Raster: พิกเซลที่อยู่ภายในขอบเขตโพลีกอน จะได้รับค่าคุณลักษณะของโพลีกอนนั้น

ในบางโปรแกรมสามารถกำหนดให้ใช้ ค่ากลาง (centroid) หรือ ค่าครอบคลุมสูงสุด (maximum overlap) เพื่อกำหนดค่าพิกเซล


🛠️ เครื่องมือหรือซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการแปลง

ArcGIS / ArcPro

ใช้เครื่องมือ เช่น
Polygon to Raster, Polyline to Raster, Point to Raster
โดยสามารถระบุ Value Field, Cell Size, และ Raster Cell Assignment Type

QGIS

ใช้เครื่องมือในเมนู Raster > Conversion > Rasterize (Vector to Raster)
รองรับการเลือกค่าคุณลักษณะ, cell size และระบบพิกัด

GDAL (Geospatial Data Abstraction Library)

ใช้คำสั่งเช่น
gdal_rasterize -a field_name -tr cellX cellY input_vector.shp output_raster.tif
ซึ่งเป็นเครื่องมือ command-line ที่นิยมใช้ในการประมวลผลแบบอัตโนมัติ


🧾 ข้อพิจารณาและข้อควรระวัง

  • การแปลงจากเวกเตอร์เป็นราสเตอร์อาจทำให้ ข้อมูลสูญเสียความแม่นยำ โดยเฉพาะที่ขอบเขตของโพลีกอน หรือในพื้นที่ที่มีรูปทรงซับซ้อน
  • ขนาดของพิกเซลต้องเหมาะสมกับ สเกลของข้อมูลต้นฉบับ หากพิกเซลใหญ่เกินไปจะสูญเสียรายละเอียด หากเล็กเกินไปจะทำให้ใช้หน่วยความจำและเวลาในการประมวลผลมาก
  • ข้อมูลที่แปลงแล้วจะไม่สามารถย้อนกลับ (Back Conversion) ได้โดยสมบูรณ์ (เป็นกระบวนการ Lossy)

📌 บทสรุป

การแปลงข้อมูลเวกเตอร์เป็นราสเตอร์เป็นกระบวนการสำคัญที่ทำให้สามารถนำข้อมูลเวกเตอร์มาใช้ในการวิเคราะห์เชิงพื้นที่แบบต่อเนื่อง เช่น การวิเคราะห์น้ำท่วม การจำแนกพื้นที่เหมาะสม (Suitability Analysis) และการคำนวณโมเดลเชิงพื้นที่ กระบวนการนี้ต้องอาศัยการพิจารณาทั้งด้านความละเอียด ความแม่นยำ และคุณลักษณะของข้อมูลต้นทางอย่างรอบคอบ

📌 การใช้ข้อมูลราสเตอร์ในการวิเคราะห์ภาพถ่าย (Raster Data for Image Analysis)

การใช้ข้อมูลราสเตอร์ในการวิเคราะห์ภาพถ่าย (Raster Data for Image Analysis)
เป็นหนึ่งในหัวใจของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี ภูมิสารสนเทศ และ การรับรู้จากระยะไกล (Remote Sensing) เนื่องจากข้อมูลราสเตอร์สามารถแทนข้อมูลภาพถ่ายในเชิงดิจิทัลได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในระดับพิกเซลที่สัมพันธ์กับพื้นที่จริงในเชิงภูมิศาสตร์ ข้าพเจ้าขออธิบายเชิงวิชาการโดยจำแนกออกเป็นประเด็นหลักดังนี้:


📌 1. ความสัมพันธ์ระหว่างราสเตอร์กับภาพถ่าย

ข้อมูลราสเตอร์ (Raster Data) เป็นข้อมูลในรูปแบบกริด (Grid) หรือพิกเซล (Pixel) ซึ่งแต่ละพิกเซลจะมีค่าตัวเลขที่แสดง ค่าการสะท้อนพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า (Reflectance Value) ในแต่ละช่วงคลื่น เช่น visible, NIR, SWIR ฯลฯ

ภาพถ่ายจากดาวเทียม หรือจากอากาศยานไร้คนขับ (UAV) จะถูกแปลงให้อยู่ในรูปแบบราสเตอร์ เพื่อใช้ในการ วิเคราะห์เชิงสเปกตรัม และ แปลความหมายเชิงภูมิสารสนเทศ โดยตรง


🧪 2. ประโยชน์ในการวิเคราะห์จากข้อมูลราสเตอร์

2.1 การวิเคราะห์ข้อมูลแบบหลายช่วงคลื่น (Multispectral / Hyperspectral Analysis)

ภาพถ่ายจากดาวเทียมหรืออากาศยานที่จัดเก็บในรูปของราสเตอร์จะประกอบด้วยหลาย Band เช่น Band 1–7 ของ LANDSAT หรือหลายร้อย Band ใน Hyperspectral
สามารถใช้ในการ:

  • จำแนกประเภทพืชพรรณ (Vegetation Classification)
  • ติดตามความเปลี่ยนแปลงของสิ่งปกคลุมดิน (Land Cover Change Detection)
  • วิเคราะห์คุณภาพน้ำ, ดิน หรือพลังงานแสงสะท้อนจากพื้นผิว

ข้อมูลราสเตอร์ช่วยให้สามารถวิเคราะห์และจำแนกวัตถุในภาพถ่ายดาวเทียมได้อย่างถูกต้อง โดยอาศัยคุณสมบัติหลายด้าน เช่น

  • ลักษณะการสะท้อนช่วงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Spectral Characteristics) ที่แตกต่างกันของวัตถุในแต่ละแบนด์ของภาพ
  • ลักษณะรูปร่างของวัตถุ (Spatial Characteristics) ที่สัมพันธ์กับมาตราส่วนและความละเอียดของภาพ
  • ลักษณะการเปลี่ยนแปลงตามเวลา (Temporal Characteristics) ที่ช่วยติดตามการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ เช่น การเติบโตของพืช หรือการบุกรุกทำลายป่า

2.2 การคำนวณค่าดัชนีจากภาพ (Index Calculation)

การใช้พิกเซลในการวิเคราะห์ช่วยให้สามารถคำนวณค่าดัชนีทางชีวภาพและภูมิศาสตร์ได้ เช่น:

  • NDVI (Normalized Difference Vegetation Index): วิเคราะห์ความเขียวของพืช
  • NDBI (Built-up Index): ตรวจหาพื้นที่สิ่งปลูกสร้าง
  • NDWI (Water Index): วิเคราะห์พื้นที่น้ำ
  • SAVI, EVI และดัชนีอื่น ๆ

การคำนวณเหล่านี้อาศัย ค่าพิกเซลเชิงสเปกตรัม จากราสเตอร์เป็นหลัก


2.3 การจำแนกข้อมูลเชิงพื้นที่ (Image Classification)

การใช้ข้อมูลราสเตอร์ร่วมกับเทคนิคการจำแนกภาพ (Classification) เช่น การจำแนกแบบกำกับควบคุม (Supervised Classification) และการจำแนกแบบเชิงวัตถุ (Object-based Image Analysis) ช่วยเพิ่มความถูกต้องและความละเอียดของผลการจำแนกพื้นที่ เช่น การจำแนกประเภทการใช้ที่ดิน หรือการตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่
การจำแนกข้อมูลสามารถทำได้ทั้งแบบ:

  • แบบมีการควบคุม (Supervised Classification)
  • แบบไม่มีการควบคุม (Unsupervised Classification)

โดยใช้ ค่าของพิกเซลเป็นตัวแทนของกลุ่มข้อมูล เช่น การจำแนกพื้นที่เป็นป่า น้ำ ชุมชน หรือพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งมีความแม่นยำเมื่อข้อมูลมีหลายช่วงคลื่น และสามารถ validate ด้วย field data


2.4 การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงเชิงเวลา (Change Detection)

ข้อมูลราสเตอร์ที่ได้จากภาพถ่ายดาวเทียมซ้ำในช่วงเวลาต่างๆ ช่วยให้สามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม เช่น การเปลี่ยนแปลงของป่าไม้ การขยายตัวของเมือง หรือการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่เกษตรกรรมได้อย่างต่อเนื่องและแม่นยำ
ข้อมูลราสเตอร์ช่วยให้สามารถวิเคราะห์ การเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ ได้ระหว่างช่วงเวลาต่าง ๆ เช่น:

  • การบุกรุกพื้นที่ป่า
  • การขยายตัวของเมือง
  • การเปลี่ยนแปลงความชื้นหรืออุณหภูมิผิวดิน
    การใช้ราสเตอร์ที่มีพิกเซลขนาดเท่ากันและผูกกับระบบพิกัดเดียวกัน จะช่วยให้สามารถเปรียบเทียบเชิงพื้นที่และเวลาได้อย่างแม่นยำ

2.5 การวิเคราะห์ภูมิประเทศ (Terrain Analysis)

ข้อมูลราสเตอร์เหมาะสำหรับการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ เช่น การวิเคราะห์ความลาดชัน (Slope), ทิศทางความชัน (Aspect), การสร้างแผนที่ความหนาแน่น (Density Mapping) และการวิเคราะห์รูปแบบของข้อมูลในพื้นที่ที่กำหนด นอกจากนี้ยังสามารถใช้เครื่องมือทางสถิติเพื่อสรุปและวิเคราะห์ข้อมูลในพื้นที่เฉพาะเจาะจงได้

จาก ข้อมูล DEM (Digital Elevation Model) ซึ่งอยู่ในรูปแบบราสเตอร์ สามารถวิเคราะห์ได้ว่า:

  • พื้นที่ใดมีความลาดชันสูง
  • น้ำไหลทิศทางใด
  • คาดการณ์พื้นที่เสี่ยงต่อการพังทลายหรือดินถล่ม

ทั้งนี้อาศัยการคำนวณเชิงเรขาคณิตจากค่าระดับความสูงที่อยู่ในแต่ละพิกเซล


🧠 3. ความแม่นยำและศักยภาพของข้อมูลราสเตอร์

ข้อมูลราสเตอร์มีศักยภาพสูงในการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ เนื่องจาก:

  • สามารถจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ได้รวดเร็ว ด้วยอัลกอริธึมการประมวลผลภาพ
  • รองรับการคำนวณเชิงสถิติ และ machine learning เช่น Random Forest, SVM, หรือ CNN ในการจำแนกข้อมูล
  • สนับสนุนการวิเคราะห์ด้วย Google Earth Engine (GEE) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มประมวลผลข้อมูลราสเตอร์ขนาดใหญ่แบบ Cloud

📌 บทสรุป

ข้อมูลราสเตอร์ เป็นรูปแบบข้อมูลพื้นฐานที่ขาดไม่ได้ในการ วิเคราะห์ภาพถ่ายจากดาวเทียมหรืออากาศยาน โดยเฉพาะในงานด้าน การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ, การวางผังเมือง, การติดตามภัยพิบัติ, และ การศึกษาภูมิอากาศ

การใช้ราสเตอร์ช่วยให้สามารถคำนวณ วิเคราะห์ และสร้างแบบจำลองได้อย่างแม่นยำในระดับพิกเซล ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบสำคัญของการวิเคราะห์เชิงภาพในระบบ GIS และ Remote Sensing

ใส่ความเห็น

Related Posts