15, เม.ย. 2010
บทที่ 2 : 2.3 องค์ประกอบด้านซอฟท์แวร์

ความหมายและบทบาทของซอฟต์แวร์

ซอฟต์แวร์ (Software) หมายถึงชุดคำสั่งหรือโปรแกรมที่ควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งแต่เปิดจนถึงปิดเครื่อง โดยมีหน้าที่ควบคุมการประมวลผลและสื่อสารกับฮาร์ดแวร์และผู้ใช้ ซอฟต์แวร์ทำให้การใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ และจำเป็นต่อการใช้งานระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) เพื่อให้การประมวลผลข้อมูลเชิงพื้นที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ประเภทของซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้อง

๑. ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software)

  • ตัวอย่าง: MS-DOS, Windows 95, UNIX, OS/2
  • ทำหน้าที่เป็นพื้นฐานในการควบคุมระบบคอมพิวเตอร์ รวมถึงการประสานงานระหว่าง CPU, อุปกรณ์ต่อพ่วง และซอฟต์แวร์ประยุกต์

๒. ซอฟต์แวร์สำเร็จรูป (Software Package)

  • โปรแกรมพร้อมใช้งานที่ผู้ผลิตจัดเตรียมไว้ เช่น โปรแกรมบัญชีหรือคลังสินค้า

๓. ซอฟต์แวร์จัดพิมพ์เอกสาร (Word Processing)

  • เช่น Microsoft Word, CU-Writer
  • ใช้ในการสร้างเอกสารรายงานหรือบันทึกข้อมูลคำอธิบายประกอบแผนที่

๔. ซอฟต์แวร์คำนวณ (Calculation Software)

  • เช่น Microsoft Excel, Lotus 1-2-3
  • ใช้จัดการข้อมูลเชิงปริมาณ เช่น ตารางค่าสถิติ หรือค่าพิกัดเชิงเลข

๕. ซอฟต์แวร์นำเสนอ (Presentation Software)

  • เช่น Microsoft PowerPoint
  • สนับสนุนการสื่อสารผลการวิเคราะห์ GIS ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

๖. ซอฟต์แวร์จัดการฐานข้อมูล (Database Management Software)

  • เช่น MS Access, FoxPro, dBase III+
  • ใช้จัดเก็บและเรียกใช้ข้อมูลจำนวนมากในโครงสร้างฐานข้อมูล ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ GIS

๗. ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software)

  • พัฒนาขึ้นเฉพาะด้านตามความต้องการของผู้ใช้ เช่น ระบบจัดการข้อมูลประชากรโดยใช้ภาษา Visual Basic หรือ C

๘. โปรแกรมแปลภาษา (Language Translator)

  • ประกอบด้วย:
    • คอมไพเลอร์ (Compiler): แปลคำสั่งทั้งหมดก่อนทำงาน เช่น ภาษา C, Pascal
    • อินเตอร์พรีเตอร์ (Interpreter): แปลคำสั่งทีละบรรทัด เช่น ภาษา BASIC

๙. โปรแกรมอรรถประโยชน์ (Utility Programs)

  • เช่น โปรแกรมจัดการดิสก์ คัดลอกไฟล์ เป็นต้น เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้งานระบบ

ข้อเสนอแนะด้านฮาร์ดแวร์-ซอฟต์แวร์ที่เหมาะกับ GIS

เพื่อให้ระบบ GIS ดำเนินการได้มีประสิทธิภาพ ควรใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ระดับ Pentium II ความเร็ว 800 MHz, RAM ขั้นต่ำ 128 MB, Hard Disk 10 GB และระบบปฏิบัติการ Windows XP ซึ่งรองรับซอฟต์แวร์ GIS เช่น ArcView และ Extension ต่างๆ ได้ดี มีเสถียรภาพสูง เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ไม่มีทักษะด้านเทคนิคมากนัก


วิเคราะห์เชิงระบบ: ซอฟต์แวร์กับ GIS

การเลือกใช้ซอฟต์แวร์ในระบบ GIS จำเป็นต้องพิจารณา 3 ปัจจัยหลัก:

  1. ความเข้ากันได้ (Compatibility) ระหว่างซอฟต์แวร์ระบบกับซอฟต์แวร์ GIS
  2. การประมวลผลแบบเฉพาะทาง เช่น ความสามารถในการวิเคราะห์เชิงพื้นที่, การประมวลผลภาพจากดาวเทียม
  3. การเชื่อมโยงกับฐานข้อมูล โดยใช้ DBMS ที่รองรับ spatial data เช่น PostgreSQL/PostGIS หรือ MS Access สำหรับขนาดข้อมูลไม่มาก

ข้อเสนอเพื่อการศึกษาเพิ่มเติม

นักศึกษา/นักวิจัยควรศึกษาเสริมเกี่ยวกับ:

  • Open Source GIS Software: เช่น QGIS, GRASS GIS
  • การประมวลผลเชิงขนานใน GIS (Parallel Processing in GIS Software)
  • API และภาษาเขียนโปรแกรมสำหรับ GIS เช่น Python (ArcPy), R, GDAL/OGR

การจัดกลุ่มใหม่ของซอฟต์แวร์ในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS Software Components) โดยเน้นการ เชื่อมโยงกับการใช้งาน GIS

🔁 กลุ่มที่ 1: ซอฟต์แวร์พื้นฐานระบบ (System Foundation)

ประเภทหน้าที่หลักความเชื่อมโยงกับ GIS
1. ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software / OS)ควบคุมการทำงานของฮาร์ดแวร์ทั้งหมดจำเป็นสำหรับติดตั้ง GIS software เช่น Windows XP สำหรับ ArcView
2. โปรแกรมอรรถประโยชน์ (Utility Program)อำนวยความสะดวก เช่น format, copy, back-upใช้จัดการระบบไฟล์ GIS และการสำรองข้อมูลพื้นที่จัดเก็บแผนที่

➡️ คำจำง่าย: “ระบบขับเคลื่อนเครื่อง GIS”


📦 กลุ่มที่ 2: ซอฟต์แวร์สนับสนุนสำนักงาน (Office Productivity)

ประเภทหน้าที่หลักความเชื่อมโยงกับ GIS
3. ซอฟต์แวร์จัดพิมพ์เอกสาร (Word Processing)สร้างรายงาน, เอกสารรายงานผลการวิเคราะห์ GIS
4. ซอฟต์แวร์คำนวณ (Calculation / Spreadsheet)คำนวณสูตร, ตาราง, สถิติวิเคราะห์ข้อมูลตารางเชิงตัวเลขใน GIS เช่น Attribute Table
5. ซอฟต์แวร์นำเสนอ (Presentation Software)นำเสนอข้อมูลเป็นภาพ, เสียง, วิดีโอนำเสนอผลการวิเคราะห์เชิงพื้นที่จาก GIS ใช้แสดงผลการวิเคราะห์ GIS ในรูปแบบที่เข้าใจง่าย เช่น PowerPoint สำหรับรายงานผล
6. ซอฟต์แวร์สำเร็จรูป (Software Packages)ทำงานเฉพาะด้าน เช่น บัญชี สต็อกอาจใช้ร่วมกับ GIS ในระบบธุรกิจ เช่น ระบบโลจิสติกส์เชิงพื้นที่

➡️ คำจำง่าย: “ชุดเครื่องมือสำนักงานประกอบ GIS”


🗃️ กลุ่มที่ 3: ซอฟต์แวร์จัดการข้อมูล (Data Management)

ประเภทหน้าที่หลักความเชื่อมโยงกับ GIS
7. ซอฟต์แวร์จัดการฐานข้อมูล (Database Software)จัดเก็บ, เรียก, แก้ไขข้อมูลเป็นแกนหลักของ GIS สำหรับจัดการ attribute data ของแผนที่ เก็บข้อมูลภูมิศาสตร์และเชื่อมโยงกับข้อมูลเชิงพื้นที่ เช่น MS-Access หรือ PostgreSQL สำหรับ PostGIS
8. ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software)พัฒนาโปรแกรมเฉพาะตามวัตถุประสงค์เขียนระบบ GIS เฉพาะกิจ เช่น ระบบติดตามผู้ป่วย, ระบบประเมินน้ำท่วม

➡️ คำจำง่าย: “คลังข้อมูล GIS และเครื่องมือเฉพาะทาง”


🔤 กลุ่มที่ 4: ซอฟต์แวร์พัฒนาโปรแกรม (Programming Tools)

ประเภทหน้าที่หลักความเชื่อมโยงกับ GIS
9. โปรแกรมแปลภาษา (Language Translator)พัฒนาโปรแกรมเฉพาะงานตามความต้องการใช้เขียน extension หรือ add-in สำหรับ GIS เช่น Python/ArcPy
ใช้สร้างฟังก์ชันเฉพาะใน GIS เช่น การเขียนโค้ด Python เพื่อสร้างเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่
– Compilerแปลทีเดียวทั้งโปรแกรมสำหรับภาษาเช่น C, Pascal
– Interpreterแปลทีละบรรทัดภาษาเช่น BASIC, Python

➡️ คำจำง่าย: “เครื่องมือสื่อสารกับ GIS”


🎯 บทสรุปภาพรวม (สื่อจำแบบ Mind Mapping)

scssCopyEdit[GIS Software]
├── พื้นฐานระบบ (OS, Utility)
├── สำนักงาน (Word, Excel, PowerPoint)
├── จัดการข้อมูล (DBMS, Application)
└── พัฒนาโปรแกรม (Compiler, Interpreter)

องค์ประกอบหลักของโปรแกรมระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS Software Components) ซึ่งสามารถวิเคราะห์เชิงลึกในเชิงวิชาการได้ดังนี้:


๒.๔ โปรแกรมทางด้านสารสนเทศภูมิศาสตร์

(GIS Software)

ในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System: GIS) ซอฟต์แวร์ถือเป็นกลไกสำคัญที่เชื่อมโยงระหว่างฮาร์ดแวร์ ข้อมูล และผู้ใช้ เพื่อให้เกิดกระบวนการวิเคราะห์เชิงพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ โปรแกรม GIS ที่สมบูรณ์ควรมีองค์ประกอบหลัก 5 ประการ ดังต่อไปนี้:


๑) การป้อนข้อมูลและการตรวจสอบข้อมูล (Data Input and Verification)

เป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญมาก เนื่องจากคุณภาพของข้อมูลต้นทางส่งผลโดยตรงต่อความถูกต้องของผลลัพธ์ GIS ใช้เครื่องมือเช่น Digitizer สำหรับแปลงแผนที่กระดาษเป็นเวกเตอร์, Scanner สำหรับแปลงเอกสารหรือภาพถ่ายเป็นเรสเตอร์ และระบบตรวจสอบข้อมูล (Data Validation Tools) เช่น การตรวจสอบ Topology และ Attribute Constraints เพื่อป้องกันความผิดพลาด ตัวอย่างซอฟต์แวร์ที่มีฟังก์ชันนี้ได้แก่ ArcGIS, QGIS, GRASS GIS

วิเคราะห์เชิงลึก:

  • การนำเข้าข้อมูลเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากคุณภาพของข้อมูลต้นทางมีผลต่อความถูกต้องของผลลัพธ์จาก GIS
  • เครื่องมือสำคัญ ได้แก่:
    • Digitizer: สำหรับแปลงแผนที่กระดาษเป็นเวกเตอร์
    • Scanner: สำหรับแปลงเอกสารหรือภาพถ่ายเป็นรูปแบบเรสเตอร์
  • ระบบช่วยตรวจสอบข้อมูล (Data Validation Tools): จำเป็นสำหรับลดความคลาดเคลื่อน เช่น Topology check, Attribute constraints

ตัวอย่างซอฟต์แวร์ที่โดดเด่น:
ArcGIS, QGIS, GRASS GIS ล้วนมีเครื่องมือสำหรับตรวจสอบและประเมินคุณภาพข้อมูลอัตโนมัติ


๒) การจัดเก็บข้อมูลและการจัดการฐานข้อมูล (Data Storage and Database Management)

โปรแกรม GIS ต้องรองรับโครงสร้างข้อมูลเชิงพื้นที่ทั้งแบบเวกเตอร์ (จุด เส้น พื้นที่) และแบบเรสเตอร์ (กริด เซลล์) พร้อมระบบจัดการฐานข้อมูลที่สามารถเชื่อมโยง Attribute Table กับ Spatial Features ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้ Spatial Database เช่น PostGIS, GeoPackage หรือ File Geodatabase ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหาและวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Geospatial Data)

วิเคราะห์เชิงลึก:

  • โปรแกรม GIS ต้องรองรับ โครงสร้างข้อมูลเชิงพื้นที่ ทั้งแบบ:
    • Vector (Point, Line, Polygon)
    • Raster (Grid, Cell)
  • ระบบจัดการฐานข้อมูลต้องสามารถรองรับ Attribute Table และเชื่อมโยงกับ Spatial Features ได้
  • การใช้ Spatial Database เช่น PostGIS, GeoPackage, หรือ File Geodatabase (FGDB) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหาและวิเคราะห์

ประเด็นทางวิชาการ:
ความสามารถในการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Geospatial Data) เป็นคุณลักษณะสำคัญของซอฟต์แวร์ยุคใหม่


๓) การคำนวณและการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Manipulation and Analysis)

เป็นการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ (Spatial Analysis) และเชิงคุณลักษณะ (Attribute Analysis) โดยใช้เครื่องมือเช่น Model Builder หรือ Geoprocessing Tools เพื่อทำ Data Transformation เช่น การคำนวณดัชนี NDVI, การแปลงพิกัดภูมิศาสตร์ และการวิเคราะห์แบบ Overlay, Network Analysis โปรแกรม GIS ต้องสามารถใช้ข้อมูล Spatial และ Non-Spatial ร่วมกันได้อย่างซับซ้อน เหมาะสำหรับงานวิจัยด้านนิเวศวิทยา ผังเมือง และการวางแผนพัฒนา

วิเคราะห์เชิงลึก:

  • การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial Analysis) และเชิงคุณลักษณะ (Attribute Analysis) จำเป็นต้องใช้ Model Builder หรือ Geoprocessing Tools
  • การเปลี่ยนแปลงรูปแบบข้อมูล (Data Transformation) เช่น การคำนวณดัชนี NDVI, การแปลงพิกัดภูมิศาสตร์ ฯลฯ
  • ต้องสามารถใช้ข้อมูล Spatial และ Non-Spatial ร่วมกันในการวิเคราะห์แบบซับซ้อนได้ (เช่น Overlay Analysis, Network Analysis)

การประยุกต์ใช้ในวิจัย:
เหมาะกับงานเชิงนิเวศวิทยา ผังเมือง การวางแผนพัฒนา เป็นต้น


๔) การรายงานผลข้อมูล (Data Output and Presentation)

โปรแกรม GIS ต้องมีความสามารถในการสร้าง Map Layout, Legend, Scale Bar, North Arrow และสนับสนุนการส่งออกไฟล์ในรูปแบบ PDF, PNG, SVG รวมถึงการสร้าง Dashboard หรือเชื่อมต่อกับระบบ BI เช่น Power BI เพื่อเพิ่มศักยภาพการนำเสนอ นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มการเชื่อมโยงกับ Web GIS และการสร้าง Interactive Maps ด้วยเทคโนโลยี HTML5/JavaScript เช่น Leaflet, Mapbox

วิเคราะห์เชิงลึก:

  • ความสามารถในการสร้าง Map Layout, Legend, Scale Bar, North Arrow เป็นคุณสมบัติพื้นฐาน
  • ควรสนับสนุนการส่งออก (Export) ไปยัง PDF, PNG, SVG, Web Map
  • ความสามารถในการทำ Dashboard หรือเชื่อมต่อกับระบบ BI (เช่น Power BI, Looker Studio) จะเพิ่มศักยภาพการนำเสนอ

แนวโน้มปัจจุบัน:
การเชื่อมโยงกับ Web GIS และการสร้าง Interactive Maps ด้วย HTML5/JavaScript เช่น Leaflet, Mapbox


๕) ความสัมพันธ์กับผู้ใช้ (Interaction with the User)

ซอฟต์แวร์ GIS ควรมี Graphical User Interface (GUI) ที่ใช้งานง่ายและยืดหยุ่น รองรับการสร้าง Custom Tools, Scripting ด้วยภาษา Python, R หรือ Low-Code/No-Code Modules รวมถึงการรองรับ Localization และการขยายฟังก์ชันผ่าน Plug-ins หรือ Add-ons แนวคิดการออกแบบควรยึดหลัก User-Centered Design (UCD) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน
วิเคราะห์เชิงลึก:

  • ซอฟต์แวร์ควรมี Graphical User Interface (GUI) ที่เข้าใจง่าย และสามารถกำหนดค่าด้วยตนเอง
  • ความสามารถในการสร้าง Custom Tools, Scripting (Python, R) หรือแม้แต่ Low-Code/No-Code Modules
  • ควรสนับสนุนการทำงานร่วมกับภาษาแม่ของผู้ใช้ (Localization) และสามารถขยายฟังก์ชันผ่าน Plug-ins หรือ Add-ons

แนวคิดการออกแบบที่ดี:

  • ควรใช้แนวทางของ User-Centered Design (UCD) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งาน

บทสรุปเชิงวิชาการ

ซอฟต์แวร์ GIS ที่มีประสิทธิภาพไม่เพียงแต่ต้องสามารถจัดการข้อมูลเชิงพื้นที่ได้เท่านั้น แต่ยังต้องรองรับการประมวลผล วิเคราะห์ และรายงานผลอย่างครอบคลุม โดยมี GUI ที่เข้าใจง่ายและยืดหยุ่น องค์ประกอบทั้ง 5 ด้านที่กล่าวมานี้จึงถือเป็นโครงสร้างหลักของซอฟต์แวร์ GIS ที่สนับสนุนการวิจัยและการตัดสินใจเชิงพื้นที่ได้อย่างแท้จริง

องค์ประกอบด้านซอฟต์แวร์ในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS Software Components) พร้อมการวิเคราะห์ปัจจัยสำคัญในการเลือกใช้โปรแกรม GIS ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถจัดเรียงประเด็นได้ดังนี้:


องค์ประกอบด้านซอฟต์แวร์ในระบบ GIS

(GIS Software Considerations and Selection Criteria)

ซอฟต์แวร์เป็นหัวใจสำคัญของระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ โดยทำหน้าที่เป็นกลไกกลางในการบริหารจัดการข้อมูลเชิงพื้นที่ การเลือกโปรแกรม GIS ให้เหมาะสมจึงต้องอิงหลักเกณฑ์หลายประการ เพื่อให้สามารถใช้งานได้ตรงกับวัตถุประสงค์การวิจัย การบริหารจัดการพื้นที่ หรือการประยุกต์ใช้เชิงยุทธศาสตร์


๑. ความหมายและบทบาทของซอฟต์แวร์ GIS

ซอฟต์แวร์ (Software) ในบริบทของ GIS หมายถึง โปรแกรมที่ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลเชิงพื้นที่และไม่เชิงพื้นที่ (Spatial & Non-Spatial Data) ตั้งแต่การป้อนข้อมูล การจัดเก็บ การวิเคราะห์ จนถึงการนำเสนอผล ซึ่งต้องครอบคลุมโมดูลต่าง ๆ เช่น:

  • ระบบฐานข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial Database System)
  • เครื่องมือวิเคราะห์เชิงพื้นที่ (Spatial Analysis Tools)
  • ระบบแสดงผล (Map Rendering Engine)

๒. ปัจจัยสำคัญในการเลือกใช้โปรแกรม GIS

การเลือกซอฟต์แวร์ GIS ควรพิจารณาใน 3 ประเด็นหลัก ดังนี้:

๒.๑ โปรแกรม GIS จะหาได้จากที่ใด?

  • โปรแกรม GIS สามารถหาได้จากแหล่งต่างๆ เช่น หนังสือประเภท Software directory, นิตยสาร, แผ่นใบปลิวของบริษัทผู้ขาย หรือสอบถามจากหน่วยงานที่ใช้งาน GIS อยู่แล้วในประเทศไทย ตัวอย่างโปรแกรมที่นิยมใช้ เช่น ArcView, ARC/INFO, InterGraph, PAMAP, SPANS, ILWIS และ MapInfo Professional
  • หนังสือและไดเรกทอรีซอฟต์แวร์ (Software Directory): แม้จะไม่แพร่หลายในประเทศไทย แต่มีในต่างประเทศ เช่น GIS Software Directory ของ GIS Lounge หรือ Esri Catalog
  • แหล่งข้อมูลออนไลน์: เว็บไซต์อย่าง GISGeography, G2, Capterra มีรีวิวเปรียบเทียบซอฟต์แวร์จำนวนมาก
  • การแนะนำจากผู้ใช้งานหรือหน่วยงานภายในประเทศ: หน่วยงานราชการ มหาวิทยาลัย และภาคเอกชนในไทย เช่น กรมแผนที่ทหาร กรมที่ดิน มักใช้งาน ArcGIS หรือ QGIS และสามารถเป็นแหล่งอ้างอิงที่ดี

๒.๒ โปรแกรม GIS ตรงกับความต้องการหรือไม่?

ต้องพิจารณาความสามารถของโปรแกรมว่ารองรับการป้อนข้อมูล การจัดเก็บฐานข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่ และการรายงานผลได้ครบถ้วนหรือไม่ รวมถึงความง่ายในการใช้งานและการสนับสนุนฟังก์ชันที่จำเป็นสำหรับงานของผู้ใช้

การประเมินความเหมาะสมควรพิจารณาจาก:

เกณฑ์การเลือกรายละเอียด
ฟังก์ชันการใช้งานรองรับการวิเคราะห์ที่ต้องการ เช่น overlay, buffering, network
รูปแบบข้อมูลที่รองรับรองรับ vector/raster, support GeoTIFF, Shapefile, GeoPackage
การเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลสามารถเชื่อมต่อกับ PostgreSQL/PostGIS, SQLite, Oracle Spatial
ความยืดหยุ่นในการปรับแต่งมีปลั๊กอินเสริม (plug-ins), เขียนสคริปต์ด้วย Python หรือ R
ความเป็นมิตรต่อผู้ใช้ (Usability)GUI ใช้งานง่าย เรียนรู้ได้รวดเร็ว โดยเฉพาะในภาคการศึกษา

๒.๓ ค่าใช้จ่ายและราคา

โปรแกรม GIS มีทั้งแบบฟรีและแบบมีค่าใช้จ่าย การเลือกโปรแกรมต้องพิจารณางบประมาณและความคุ้มค่าต่อการใช้งาน เช่น โปรแกรมโอเพนซอร์สอย่าง QGIS หรือโปรแกรมเชิงพาณิชย์อย่าง ArcGIS

  • ซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์ (Commercial Software):
    • ArcGIS Pro / ArcMap: มีค่าใช้จ่ายรายปีและ license ต่อเครื่อง
    • MapInfo Professional: ค่าลิขสิทธิ์ถาวรแต่ไม่อัปเดตอัตโนมัติ
  • ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส (Open Source Software):
    • QGIS, GRASS GIS, ILWIS: ไม่มีค่าใช้จ่าย ใช้งานได้สมบูรณ์ และมี community สนับสนุนที่เข้มแข็ง
    • Whitebox GAT: เหมาะกับการวิเคราะห์ภูมิประเทศและแรสเตอร์โดยเฉพาะ

๓. ตัวอย่างซอฟต์แวร์ GIS ที่นิยมใช้งานในประเทศไทย

ชื่อซอฟต์แวร์ประเภทรายละเอียดเด่น
ArcView / ArcGISเชิงพาณิชย์พัฒนาโดย Esri, ครอบคลุมทุกฟังก์ชัน
ARC/INFOเชิงพาณิชย์เหมาะสำหรับงานวิเคราะห์ขั้นสูงและ scripting
MapInfo Professionalเชิงพาณิชย์เน้นตลาดภาคธุรกิจและระบบสารสนเทศท้องถิ่น
ILWISโอเพ่นซอร์สเหมาะกับงาน Remote Sensing และการเรียนการสอน
SPANS, PAMAP, Intergraphเชิงพาณิชย์ใช้ในองค์กรขนาดใหญ่ เช่น ระบบผังเมืองหรือฐานข้อมูลการเกษตร

ข้อเสนอแนะเชิงวิชาการ

  1. หน่วยงานการศึกษาและการวางแผนนโยบาย ควรสนับสนุนการใช้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส เช่น QGIS เพื่อลดต้นทุนระยะยาวและเพิ่มความสามารถในการปรับแต่ง
  2. การพัฒนาทักษะการเลือกซอฟต์แวร์ ควรบูรณาการในหลักสูตร GIS เพื่อให้นักศึกษารู้จักประเมินซอฟต์แวร์อย่างเป็นระบบตามมาตรฐาน เช่น ISO 25010 (Software Quality Model)
  3. การเปรียบเทียบซอฟต์แวร์ อาจใช้กรอบวิเคราะห์ SWOT หรือ Multi-Criteria Decision Making (MCDM) เพื่อการเลือกโปรแกรมอย่างมีประสิทธิภาพ

โดยสรุป ซอฟต์แวร์ GIS เป็นกลไกสำคัญที่เชื่อมโยงฮาร์ดแวร์ ข้อมูล และผู้ใช้ เพื่อให้เกิดการวิเคราะห์เชิงพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกโปรแกรมที่เหมาะสมต้องคำนึงถึงแหล่งที่มาของโปรแกรม ความสอดคล้องกับความต้องการใช้งาน และค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม

โปรแกรม GIS ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับการใช้งานในประเทศไทย ได้แก่

  • QGIS (Quantum GIS)
    เป็นโปรแกรม Desktop GIS แบบรหัสเปิด (Free and Open Source Software) ที่ได้รับความนิยมสูงในไทย เนื่องจากใช้งานง่าย มี Graphic User Interface ที่สะดวก รองรับการจัดการข้อมูลเวกเตอร์และเรสเตอร์ในรูปแบบมาตรฐาน เช่น Shapefile และ GeoTIFF เหมาะสำหรับงานจัดการข้อมูลภูมิสารสนเทศทั่วไปและงานวิเคราะห์เชิงพื้นที่
  • ArcGIS
    เป็นโปรแกรม Desktop GIS เชิงพาณิชย์ที่พัฒนาโดย Esri มีความสามารถสูงในการแสดงผลข้อมูล 2 มิติ และ 3 มิติ รองรับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก Spatial Big Data และการเชื่อมต่อกับ ArcGIS Online หรือ ArcGIS Enterprise เพื่อเผยแพร่ข้อมูลในรูปแบบ Web GIS ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการระบบ GIS ที่ครบวงจรและมีฟังก์ชันขั้นสูง
  • โปรแกรมอื่นๆ ที่นิยมใช้ในไทย
    เช่น ArcView, ARC/INFO, InterGraph, PAMAP, SPANS, ILWIS, MapInfo Professional ซึ่งแต่ละโปรแกรมมีจุดเด่นและการใช้งานเฉพาะด้านแตกต่างกันไป

โดยสรุป หากพิจารณาด้านความคุ้มค่าและการเข้าถึง โปรแกรม QGIS ถือเป็นตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพสูงและเหมาะสมกับการใช้งานในประเทศไทยอย่างกว้างขวาง ในขณะที่ ArcGIS Pro เหมาะกับองค์กรที่ต้องการฟังก์ชันครบถ้วนและการสนับสนุนเชิงพาณิชย์ระดับสูง

โปรแกรม QGIS มีประโยชน์อย่างมากในการใช้งานในประเทศไทยด้วยเหตุผลดังนี้:

  • เป็นโปรแกรมระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ประเภทซอฟต์แวร์รหัสเปิด (Free and Open Source Software) ที่ไม่คิดค่าใช้จ่าย ทำให้หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และผู้ใช้ทั่วไปสามารถเข้าถึงและใช้งานได้อย่างกว้างขวางโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย136รองรับการทำงานกับข้อมูลหลากหลายรูปแบบทั้งข้อมูลเวกเตอร์ (เช่น Shapefile) และข้อมูลแรสเตอร์ (เช่น ภาพถ่ายดาวเทียม, GeoTIFF) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ใช้กันทั่วไปในงาน GIS
  • มีส่วนต่อประสานกราฟิกกับผู้ใช้ (GUI) ที่ใช้งานง่าย สะดวกต่อการจัดการข้อมูล การแก้ไขข้อมูล การวิเคราะห์เชิงพื้นที่ และการนำเสนอข้อมูลในรูปแบบแผนที่ที่สวยงาม
  • สามารถเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลเชิงพื้นที่ เช่น PostGIS/PostgreSQL และทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์ GIS อื่นๆ เช่น GRASS GIS ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่
  • รองรับการเขียนโปรแกรมเสริมด้วยภาษา Python และ C++ ทำให้ผู้ใช้สามารถพัฒนาฟังก์ชันเฉพาะด้านหรือเครื่องมือเสริม (Plug-in) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการเฉพาะของงานได้
  • มีการพัฒนาและอัปเดตอย่างต่อเนื่อง พร้อมชุมชนผู้ใช้และนักพัฒนาที่เข้มแข็ง ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาและแลกเปลี่ยนความรู้ได้ง่าย1
  • เหมาะสมกับการใช้งานในหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในประเทศไทยที่ต้องการระบบ GIS ที่มีประสิทธิภาพแต่ประหยัดงบประมาณ และสนับสนุนการบูรณาการข้อมูลภูมิสารสนเทศระหว่างหน่วยงานต่างๆ ได้ดี

สรุปคือ QGIS เป็นโปรแกรม GIS ที่เหมาะสมและมีประโยชน์สูงสำหรับการใช้งานในประเทศไทย เพราะเป็นโปรแกรมฟรี ใช้งานง่าย รองรับข้อมูลมาตรฐาน เชื่อมต่อฐานข้อมูลได้ดี และสามารถปรับแต่งเพิ่มฟังก์ชันได้ตามความต้องการของผู้ใช้ในบริบทของประเทศไทยอย่างครบถ้วน

แนวทางการเลือกโปรแกรม GIS: องค์ประกอบ กระบวนการ และการประเมินผล

การเลือกโปรแกรม GIS อย่างมีประสิทธิภาพต้องใช้กระบวนการวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ เพื่อให้ได้ซอฟต์แวร์ที่เหมาะสมกับงาน งบประมาณ และความสามารถของบุคลากร โดยกระบวนการที่เสนอสามารถจัดลำดับได้เป็น 9 ขั้นตอน ดังนี้:


1. ศึกษารายละเอียดโปรแกรมจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้

  • ค้นหาข้อมูลจากผู้แทนจำหน่าย เว็บไซต์ หรือแหล่งข้อมูลด้าน Geomatics ที่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับโปรแกรม GIS อย่างละเอียด เช่น ArcGIS Pro จาก Esri ที่มีฟีเจอร์ครบถ้วนและรองรับการวิเคราะห์เชิงลึก
  • ค้นหาข้อมูลจาก:
    • เว็บไซต์ของผู้พัฒนา เช่น Esri, QGIS.org
    • แหล่งรีวิวเปรียบเทียบ เช่น GISGeography, G2
    • เอกสารของหน่วยงานภาครัฐหรือสถาบันการศึกษาที่มีการใช้ GIS

วัตถุประสงค์: รู้จักตัวเลือกที่มีอยู่และขอบเขตการใช้งานเบื้องต้น


2. ตรวจสอบลักษณะงานหรือโครงการที่ต้องการใช้งาน

  • พิจารณาว่างานหรือโครงการที่ต้องทำต้องการฟังก์ชันใดบ้าง เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล 2 มิติ หรือ 3 มิติ, การจัดการฐานข้อมูลขนาดใหญ่, การสร้างแผนที่แบบ Interactive เป็นต้น เพื่อให้โปรแกรมที่เลือกสามารถสนับสนุนงานได้อย่างเต็มที่
  • ประเมินว่าโปรแกรมสามารถ:
    • จัดการข้อมูลแบบ Vector หรือ Raster ได้หรือไม่
    • เชื่อมต่อกับฐานข้อมูลที่มีอยู่
    • วิเคราะห์เชิงพื้นที่แบบ Overlay, Network, Interpolation ได้หรือไม่

คำแนะนำ: ขอปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในหน่วยงาน หรืออ้างอิงกรณีศึกษาจากผู้เคยใช้งานจริง


3. ขอรายละเอียดและราคาจากผู้ขาย

  • ขอใบเสนอราคาจากผู้แทนจำหน่ายหลายราย เพื่อเปรียบเทียบราคาและบริการหลังการขาย เช่น ArcGIS for Personal Use มีราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 4,500 บาทต่อปี
  • ขอใบเสนอราคา (Quotation) และข้อมูลเพิ่มเติม เช่น:
    • เงื่อนไขสิทธิการใช้งาน (License Type)
    • ค่าบำรุงรักษารายปี (Maintenance Fee)
    • ค่าบริการฝึกอบรม (Training Service)

หมายเหตุ: ติดต่อผู้ขายหลายรายเพื่อใช้ในการเปรียบเทียบ


4. จัดทำตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติ

เปรียบเทียบคุณสมบัติของโปรแกรมต่างๆ ทั้งในด้านราคา ฟังก์ชันการใช้งาน การตอบสนองงาน และบริการหลังการขาย เพื่อช่วยในการตัดสินใจ

เกณฑ์โปรแกรม Aโปรแกรม Bโปรแกรม C
รองรับ Vector/Raster
วิเคราะห์ NDVI
ราคา300,000 บาท0 บาท (Open source)150,000 บาท
บริการหลังการขายดีมากไม่มีปานกลาง

เกณฑ์แนะนำ: ควรให้ความสำคัญกับคุณภาพของบริการหลังการขายพอ ๆ กับฟีเจอร์ของซอฟต์แวร์


5. ขอชมการสาธิตหรือทดลองใช้ (Demo / Trial License)

  • ขอให้ตัวแทนจำหน่ายสาธิตการใช้งานโปรแกรม หรือทดลองใช้เวอร์ชันทดลอง เพื่อประเมินประสิทธิภาพและความเหมาะสมกับงานจริง
  • การเห็นการทำงานจริงจะช่วย:
    • ตรวจสอบความเร็วของโปรแกรม
    • ความง่ายในการใช้งาน GUI
    • ความสามารถในการวิเคราะห์แบบจำลองเชิงพื้นที่ (Model Builder, Geoprocessing Tools)

6. วิเคราะห์ค่าใช้จ่ายทั้งหมด

  • พิจารณาค่าใช้จ่ายทั้งหมดรวมถึงค่าอบรม บำรุงรักษา และอัปเดตโปรแกรม เพื่อให้มั่นใจว่าคุ้มค่ากับงบประมาณที่มี
  • คำนึงถึงค่าใช้จ่ายระยะยาว:
    • ค่า License ต่อปี
    • ค่าฝึกอบรมพนักงาน
    • ค่าระบบเสริม (plug-ins, extensions)

แนวทางการวิเคราะห์: ใช้การวิเคราะห์ต้นทุนรวม (Total Cost of Ownership: TCO)


7. ประเมินขีดความสามารถทางเทคนิคของโปรแกรม

  • ตรวจสอบว่าโปรแกรมมีฟังก์ชันและเทคโนโลยีที่รองรับงานที่ต้องการ เช่น การวิเคราะห์ Spatial Big Data, การเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลเชิงพื้นที่ หรือการเขียนสคริปต์เสริม
  • พิจารณาเรื่อง:
    • ความสามารถด้าน Remote Sensing, 3D GIS, การเชื่อมโยง API
    • รองรับภาษาไทย หรือ Unicode หรือไม่
    • ความสามารถในการรองรับ Dataset ขนาดใหญ่ (Big Geospatial Data)

8. ประเมินศักยภาพของผู้ขายและผู้ผลิต

  • ตรวจสอบบริการหลังการขาย การสนับสนุนทางเทคนิค และเครือข่ายผู้ใช้ในประเทศไทย เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับความช่วยเหลือเมื่อเกิดปัญหา
  • ดูจาก:
    • ความสามารถในการสนับสนุนระยะยาว
    • การมี Community หรือ Technical Forum
    • มีหน่วยงานในประเทศที่ใช้และให้คำปรึกษาได้ เช่น มหาวิทยาลัย หน่วยงานราชการ

9. ตัดสินใจเลือกโปรแกรม

  • หลังจากพิจารณาข้อมูลทั้งหมดแล้ว ให้เลือกโปรแกรมที่เหมาะสมกับงานและงบประมาณของหน่วยงานที่สุด
  • ควรเลือกโปรแกรมที่สมดุลระหว่าง:
    • ความสามารถเชิงเทคนิค (Technical Fitness)
    • ความเหมาะสมกับงาน (Functional Relevance)
    • ราคาและบริการหลังการขาย (Affordability & Support)

สรุปคือ การเลือกโปรแกรม GIS ต้องอาศัยการศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ ทั้งด้านฟังก์ชันการใช้งาน ราคา และบริการหลังการขาย เพื่อให้ได้โปรแกรมที่ตอบโจทย์งานและคุ้มค่ากับงบประมาณที่มีอยู่

การเลือกโปรแกรม GIS ที่เหมาะสมควรใช้ กรอบแนวคิดการตัดสินใจแบบพหุเกณฑ์ (Multi-Criteria Decision Analysis: MCDA) ซึ่งรวมเอาความต้องการของงาน งบประมาณ ความสามารถของบุคลากร และศักยภาพของซอฟต์แวร์เข้ามาพิจารณาร่วมกัน

การจัดทำ Checklist หรือ Decision Matrix และการเข้าชมสาธิตจะช่วยลดความเสี่ยงจากการตัดสินใจผิดพลาด และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานในระยะยาว

จากข้อมูลที่อ้างอิงถึง การสำรวจซอฟต์แวร์ GIS โดยศูนย์ข้อมูลข้อสนเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ (อ้างอิงจาก GIS Source Book ปี พ.ศ. 2537 และแบบสอบถามผู้ใช้ในประเทศ) สามารถสังเคราะห์และจัดเรียงเชิงวิเคราะห์เพื่อการศึกษาและประเมินเทคโนโลยีในช่วงนั้นได้ดังนี้:


รายงานเชิงวิเคราะห์: ซอฟต์แวร์ Arc/INFO, ArcView, ArcCAD, ArcGIS (ข้อมูล ณ ช่วงปี 2537–2544)

1. ระบบปฏิบัติการที่รองรับ (Platform Compatibility)

ซอฟต์แวร์ในตระกูล Arc* ของบริษัท ESRI (Environmental Systems Research Institute) มีจุดแข็งคือความสามารถในการทำงานข้ามแพลตฟอร์ม ได้แก่:

  • Arc/INFO, ArcView, ArcCAD, ArcGIS รองรับ:
    • DOS
    • Windows (ตั้งแต่ Windows NT 4.0, Windows 2000)
    • UNIX-based systems เช่น SUN/OS, AIX, ULTRIX
  • รองรับทั้งเครื่อง PC และ Workstation

วิเคราะห์: ความยืดหยุ่นด้านแพลตฟอร์มสะท้อนการเป็นโปรแกรมระดับองค์กร (enterprise-grade GIS) ซึ่งเหมาะกับหน่วยงานราชการและองค์กรที่มีระบบโครงสร้างพื้นฐานหลากหลาย


2. คุณสมบัติการใช้งาน (Functional Capabilities)

คุณสมบัติรายละเอียด
การแสดงผลและวิเคราะห์สามารถแสดงแผนที่ วิเคราะห์เชิงพื้นที่ และจัดการข้อมูลร่วมกันอย่างอัตโนมัติ
ส่วนเสริมสำคัญArcCatalog สำหรับจัดการข้อมูลและโปรเจคชัน
การเขียนโปรแกรมเสริมใช้ Visual Basic for Applications (VBA) ในการสร้างคำสั่ง
การใช้งานทั้งแบบ stand-alone และในระบบเครือข่าย (client-server)
การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์Manual digitizer, Scanner, GPS, Photogrammetric Mouse, COGO (Coordinate Geometry)

วิเคราะห์: การสนับสนุนภาคฮาร์ดแวร์และการใช้ VBA ทำให้ซอฟต์แวร์นี้ปรับแต่งได้สูง เหมาะกับผู้ใช้ที่มีความรู้ด้านโปรแกรมมิ่งและการทำงานภาคสนาม


3. ความสามารถด้านการวิเคราะห์ข้อมูล GIS (Spatial Analysis Functions)

Arc* มีโมดูลการวิเคราะห์ระดับสูง เช่น:

  • Generate Buffer: สร้างขอบเขตรอบข้อมูล
  • Map Algebra / Raster Analysis: วิเคราะห์ข้อมูลราสเตอร์
  • Neighborhood Operations: การวิเคราะห์พื้นที่ใกล้เคียง
  • Surface & Network Analysis: วิเคราะห์ความสูงและระบบโครงข่าย
  • Polygon Operation & Miscellaneous Tools
  • Digital Image Analysis: วิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียม

วิเคราะห์: แสดงถึงความเป็น GIS เชิงวิเคราะห์ที่ครบถ้วน เหมาะสำหรับงานภูมิสารสนเทศขั้นสูง เช่น ผังเมือง ป่าไม้ โครงสร้างพื้นฐาน และทรัพยากรธรรมชาติ


4. การจัดการข้อมูล (Data and Database Management)

รองรับโครงสร้างข้อมูลและฐานข้อมูลที่หลากหลาย:

  • ฐานข้อมูล: DB2, dBASE, FoxBase, INFO, Oracle, Sybase, Informix, RDB ฯลฯ
  • โครงสร้างข้อมูล:
    • Raster
    • Topological Vector (มีความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ เช่น Arc-node, Polygon topology)
    • Non-topological Vector
    • TIN (Triangulated Irregular Network) สำหรับข้อมูลความสูง
    • 3D
    • Links: การเชื่อมโยงกับ CAD, GPS, DBMS, อุปกรณ์สแกน

วิเคราะห์: การเชื่อมโยงข้อมูลหลากหลายแบบนี้สะท้อนความเป็น Integrated Geospatial System ที่สามารถนำข้อมูลจากหลายแหล่งมาบูรณาการได้


5. ข้อมูลราคา (Pricing – ปี พ.ศ. 2544)

รายการราคา (USD)
ArcView 8.1 (ใหม่)$1,500
ArcView 8.1 (Upgrade)$600
PC Arc/INFO 4.0$2,995

วิเคราะห์:

  • ราคาของ ArcView ถือว่าเข้าถึงได้สำหรับหน่วยงานระดับกลาง ขณะที่ Arc/INFO นั้นเป็นซอฟต์แวร์หลักที่มีราคาเหมาะสมกับหน่วยงานระดับชาติหรือโครงการขนาดใหญ่
  • หากเปรียบเทียบกับซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สในปัจจุบัน เช่น QGIS ที่ไม่มีค่าใช้จ่าย จะเห็นได้ว่าแต่ละโซลูชันมีจุดสมดุลต่างกันระหว่าง “คุณสมบัติ” กับ “ต้นทุน”

สรุปเชิงวิเคราะห์

ปัจจัยจุดแข็ง (Strengths)จุดที่ควรพิจารณา (Considerations)
ความสามารถทางเทคนิคครอบคลุมงานวิเคราะห์และจัดการเชิงพื้นที่ต้องการทักษะสูงในบางฟังก์ชัน
ความยืดหยุ่นรองรับหลายแพลตฟอร์มและการเชื่อมต่ออุปกรณ์GUI ยุคก่อนอาจไม่เหมาะกับผู้เริ่มต้น
ต้นทุนมีโครงสร้างราคาชัดเจน และรองรับการอัปเกรดราคาสูงสำหรับองค์กรขนาดเล็กในสมัยนั้น
การสนับสนุนมีบริการหลังการขาย และความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยการใช้งานขั้นสูงต้องพึ่งพาการฝึกอบรม

หมายเหตุสำหรับการวิจัยปัจจุบัน

แม้ว่าข้อมูลนี้จะเป็นของช่วง พ.ศ. 2537–2544 แต่สามารถนำมาใช้เป็นกรณีศึกษาเชิงประวัติศาสตร์ในการวิเคราะห์พัฒนาการของซอฟต์แวร์ GIS ทั้งในด้านเทคโนโลยี การจัดซื้อ และนโยบายสารสนเทศระดับประเทศได้อย่างดี โดยเฉพาะสำหรับหลักสูตรที่เน้นเรื่อง History of GIS Software, Technology Adoption in Public Sector, หรือ Comparative GIS Platforms

รายงานเชิงวิเคราะห์: ซอฟต์แวร์ QGIS (Quantum GIS) – ข้อมูล ณ ปัจจุบัน


1. ระบบปฏิบัติการที่รองรับ (Platform Compatibility)

QGIS เป็นซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยชุมชนผู้ใช้และผู้พัฒนา (Open Source Geospatial Foundation – OSGeo) ซึ่งสามารถใช้งานได้บน:

  • Windows (ทุกรุ่น รวมถึง Windows 10/11)
  • Linux (Ubuntu, Debian, Fedora ฯลฯ)
  • macOS (Apple Silicon และ Intel)
  • Android (ผ่านแอป QField หรือ IntraMaps Roam)

รองรับทั้งเครื่อง PC, Workstation และอุปกรณ์พกพา (Mobile GIS)

วิเคราะห์: ความยืดหยุ่นของ QGIS ครอบคลุมทุกแพลตฟอร์มหลักในปัจจุบัน เหมาะกับการใช้งานทั้งในสภาพแวดล้อมสำนักงานและภาคสนาม สอดคล้องกับแนวคิดของ GIS ยุคใหม่ที่เน้น “accessibility” และ “portability”


2. คุณสมบัติการใช้งาน (Functional Capabilities)

คุณสมบัติรายละเอียด
การแสดงผลและวิเคราะห์สนับสนุนการแสดงผลแผนที่ การทำ Symbolization, Labeling และการแสดงชั้นข้อมูลร่วมกันแบบ Dynamic
ส่วนเสริมสำคัญมีระบบ Plugin Store ที่มีปลั๊กอินกว่า 1,000 รายการ เช่น DB Manager, OpenLayers, QuickMapServices
การเขียนโปรแกรมเสริมรองรับ Python (PyQGIS) สำหรับเขียนสคริปต์ ปรับแต่ง GUI และสร้าง Processing Tools
การใช้งานใช้ได้ทั้งแบบ stand-alone, ผ่าน server (QGIS Server), และ web (QGIS Web Client)
การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์รองรับการเชื่อมโยง GPS, Scanner, และ RTK ผ่าน Serial/Bluetooth และ GNSS devices ผ่าน QField

วิเคราะห์: QGIS มีความยืดหยุ่นสูงมากด้านการเพิ่มความสามารถของโปรแกรมผ่านปลั๊กอินและการเขียนโค้ด เหมาะกับทั้งผู้ใช้งานทั่วไปและนักพัฒนา


3. ความสามารถด้านการวิเคราะห์ข้อมูล GIS (Spatial Analysis Functions)

QGIS มีโมดูลวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงหลากหลาย:

  • Buffer, Clip, Intersect, Union: วิเคราะห์เชิงพื้นที่พื้นฐาน
  • Raster Calculator / Map Algebra: วิเคราะห์เชิงภาพถ่ายหรือ DEM
  • Proximity / Heatmap: การวิเคราะห์พื้นที่ใกล้เคียงและความหนาแน่น
  • Hydrological Analysis, Terrain Models, 3D View: ใช้ได้ผ่าน SAGA, GRASS, หรือ PDAL
  • Geostatistics: ผ่านปลั๊กอิน QGIS หรือเชื่อมกับ R (ผ่าน Processing Provider)

วิเคราะห์: QGIS สนับสนุนการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ได้เทียบเท่าหรือมากกว่าซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์เมื่อรวมปลั๊กอินจาก GRASS GIS และ SAGA GIS


4. การจัดการข้อมูล (Data and Database Management)

QGIS รองรับการจัดการข้อมูลหลากหลายทั้งด้านฐานข้อมูลและโครงสร้างข้อมูล:

  • ฐานข้อมูล: PostgreSQL/PostGIS, SQLite/SpatiaLite, GeoPackage, MSSQL, Oracle Spatial, CSV, Excel
  • โครงสร้างข้อมูล:
    • Vector: Topological & Non-topological
    • Raster
    • TIN & 3D Models
    • Real-time GPS & Sensor Feeds
    • การเชื่อมต่อ WMS, WFS, WMTS, XYZ Tiles

วิเคราะห์: QGIS รองรับมาตรฐาน OGC อย่างสมบูรณ์ สามารถเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงข้อมูลจากหลายระบบ (Interoperability)


5. ข้อมูลราคา (Pricing – ปัจจุบัน)

รายการราคา
QGIS Software Licenseฟรี (Free / Open Source)
ปลั๊กอินและบริการเสริมฟรีทั้งหมด (บางปลั๊กอินอาจมีเวอร์ชัน Pro เสริม)
ค่าฝึกอบรม (ถ้ามี)ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการหรือองค์กรที่จัด (เฉลี่ย 3,000–10,000 บาท/หลักสูตร)

วิเคราะห์: จุดเด่นสำคัญของ QGIS คือการไม่มีค่าใช้จ่ายด้าน License และมีการอัปเดตต่อเนื่อง ซึ่งเหมาะกับหน่วยงานการศึกษา ภาครัฐ และโครงการวิจัยที่มีงบประมาณจำกัด


สรุปเชิงวิเคราะห์

ปัจจัยจุดแข็ง (Strengths)จุดที่ควรพิจารณา (Considerations)
ความสามารถทางเทคนิควิเคราะห์ได้เทียบเท่าหรือมากกว่าซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์ต้องอาศัยการเรียนรู้เชิงเทคนิคเบื้องต้น โดยเฉพาะการใช้ปลั๊กอิน
ความยืดหยุ่นปรับแต่งสูง ใช้งานได้หลากหลายแพลตฟอร์มGUI บางฟีเจอร์อาจไม่สอดคล้องกับผู้เริ่มต้นใช้งานครั้งแรก
ต้นทุนฟรี ไม่มีค่าลิขสิทธิ์บางกรณีอาจต้องลงทุนในฝึกอบรมหรือค่าบริการสนับสนุนเพิ่มเติม
การสนับสนุนชุมชนผู้ใช้ทั่วโลก, คู่มือ, ช่องทาง YouTubeไม่มีบริการหลังการขายแบบทางการ (ยกเว้นจากบริษัท third-party)

หมายเหตุสำหรับการวิจัยปัจจุบัน

แม้ QGIS จะไม่ใช่ซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์ แต่เป็นกรณีศึกษาที่โดดเด่นในด้าน Open Innovation, Technology Diffusion และ Sustainable Software Ecosystems ซึ่งเหมาะสำหรับการศึกษาในหลักสูตร:

  • Open Source GIS Technology
  • Spatial Data Infrastructure in Developing Countries
  • Comparative GIS Systems in Government Procurement

ใส่ความเห็น

Related Posts