16, เม.ย. 2010
บทที่ 6 : 6.3การซ้อนทับข้อมูล (Overlay Function)

หัวข้อ ๖.๓: การซ้อนทับข้อมูล (Overlay Function)


เป็นกระบวนการพื้นฐานและสำคัญของการวิเคราะห์ในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) โดยมีเป้าหมายเพื่อรวมข้อมูลเชิงพื้นที่จากหลายแหล่งเข้าด้วยกัน เพื่อให้สามารถ วิเคราะห์ทางเลือก, สร้างแผนที่เชิงบูรณาการ, และ สนับสนุนการตัดสินใจเชิงพื้นที่ (Spatial Decision Support) อย่างมีประสิทธิภาพ


🧭 ความหมายของการซ้อนทับข้อมูล (Overlay)

การซ้อนทับข้อมูลคือการนำข้อมูลเชิงพื้นที่ อย่างน้อย 2 ชั้น (layers) มาทำงานร่วมกัน โดยเปรียบเทียบและประมวลผลตามตำแหน่งทางภูมิศาสตร์เดียวกัน (x, y) พร้อมกับผนวก ข้อมูลเชิงบรรยาย (Attribute Data) จากทุกชั้นข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

✅ ผลลัพธ์คือชั้นข้อมูลใหม่ที่ผสานลักษณะทางกายภาพ (geometry) และเชิงคุณลักษณะจากหลายชั้นข้อมูลเข้าด้วยกัน


📐 หลักการของการซ้อนทับข้อมูล

  1. พิกัดเชิงพื้นที่ของทุก layer ที่จะนำมา overlay ต้องตรงกัน (Coordinate System เดียวกัน)
  2. ระบบจะตรวจสอบว่า polygon/line/point ที่อยู่ “ทับซ้อนกัน” จะเกิดการรวมกันของข้อมูลเชิงบรรยาย (attribute join)
  3. กระบวนการ overlay อาจใช้ตรรกะทางคณิตศาสตร์ (arithmetic) หรือตรรกศาสตร์ (logic) เช่น AND, OR, NOT, XOR

🛠️ รูปแบบและเครื่องมือการซ้อนทับข้อมูล (Overlay Techniques)

รูปแบบคำอธิบายตัวอย่างการใช้
Bufferสร้างขอบเขตรอบวัตถุ (เช่น จุดหรือเส้น)สร้างเขต 2 กม. รอบโรงเรียน
Clipตัดข้อมูลตามขอบเขตชั้นข้อมูลที่กำหนดตัดแผนที่ดินตามเขตอำเภอ
Intersectเหลือเฉพาะส่วนที่ซ้อนกันของ 2 ชั้นข้อมูลพื้นที่ป่าไม้ที่อยู่ในเขตอนุรักษ์
Unionรวม geometry ทั้งหมด และรวม attributeผสานพื้นที่ชุ่มน้ำกับพื้นที่เกษตร
Identityสร้าง polygon ใหม่โดยผนวก attribute เฉพาะจุดที่ซ้อนทับหาคุณสมบัติพื้นที่ที่ตัดผ่านกัน
Eraseตัดพื้นที่ที่ทับซ้อนออกตัดพื้นที่ป่าที่อยู่ในเขตอุตสาหกรรมออก
Dissolveรวม polygon ที่มี attribute เดียวกันรวมพื้นที่ป่าชนิดเดียวกันเป็นพื้นที่เดียว
Mergeรวมหลาย layer เข้าเป็นหนึ่งเดียวรวมชั้นข้อมูลถนนทุกประเภทเข้าด้วยกัน
Eliminateลบ polygon ขนาดเล็กที่ไม่สำคัญกำจัดจุดรบกวนในชั้นข้อมูล land use
Updateแทนที่ส่วนของ layer หนึ่งด้วยอีก layer หนึ่งอัปเดตพื้นที่ก่อสร้างใหม่ในชั้นที่ดิน
Nearคำนวณระยะทางใกล้ที่สุดจากแต่ละ featureวัดระยะจากหมู่บ้านถึงถนนสายหลัก

🧠 การประยุกต์ใช้ Overlay Function

กรณีศึกษา: หาพื้นที่เหมาะสมสำหรับสร้างโรงพยาบาล

  1. Buffer – สร้างเขต 1 กม. รอบถนนหลัก
  2. Intersect – หาพื้นที่ที่อยู่ทั้งในเขตที่ดินว่างเปล่า และอยู่ในระยะ Buffer
  3. Erase – ตัดพื้นที่น้ำออก
  4. Clip – จำกัดพื้นที่ให้อยู่เฉพาะในเขตเมือง
  5. Dissolve – รวมพื้นที่ที่มีคุณลักษณะเหมือนกันเป็นกลุ่มเดียว

🧪 การใช้ตรรกะและคณิตศาสตร์ใน Overlay

  • AND → เฉพาะพื้นที่ที่มีลักษณะทั้งสอง เช่น ที่ดินว่าง AND อยู่ในระยะไม่เกิน 1 กม. จากโรงเรียน
  • OR → พื้นที่ที่ตรงกับเงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่ง เช่น อยู่ในเขตน้ำท่วมหรือเขตเสี่ยงไฟไหม้
  • XOR → พื้นที่ที่อยู่ในชั้นใดชั้นหนึ่ง แต่ไม่อยู่ในทั้งสอง

🧰 เครื่องมือใน ArcGIS Pro (Geoprocessing Tools)

เครื่องมือชุดเครื่องมือหลัก
IntersectAnalysis Tools > Overlay
UnionAnalysis Tools > Overlay
ClipAnalysis Tools > Extract
BufferAnalysis Tools > Proximity
DissolveData Management Tools > Generalization
MergeData Management Tools > General
IdentityAnalysis Tools > Overlay
NearAnalysis Tools > Proximity

📊 ผลลัพธ์ของ Overlay Function

  • ชั้นข้อมูลใหม่ (Output Layer) ที่มีข้อมูลเชิงพื้นที่ + เชิงบรรยายผนวกกัน
  • ใช้สร้าง แผนที่เชิงธีม (Thematic Maps) เช่น แผนที่ความเหมาะสม (Suitability Map)
  • สนับสนุนการ วิเคราะห์หลายเกณฑ์ (Multi-Criteria Analysis) และการวางแผนเชิงพื้นที่ (Spatial Planning)

๑) แนวระยะห่างด้วย Buffer

๑) แนวระยะห่างด้วย Buffer – Buffers Selected Features นี้ เป็นการอธิบายถึงหนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญมากในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) คือ Buffer ซึ่งเป็นกระบวนการพื้นฐานที่ใช้ในการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการวางแผนเชิงพื้นที่ การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และการตัดสินใจในเชิงนโยบาย


📌 ความหมายของ Buffer ใน GIS

Buffer คือการสร้างเขตพื้นที่ล้อมรอบวัตถุเชิงพื้นที่ (Spatial Feature) ที่ระบุไว้ โดยพิจารณาจากระยะห่างที่กำหนด ซึ่งอาจเป็นหน่วย เมตร, กิโลเมตร, ไมล์ หรือฟุต โดยสามารถใช้ได้กับวัตถุประเภท จุด (Point), เส้น (Line), หรือพื้นที่ (Polygon)

✅ ผลลัพธ์ของการทำ Buffer คือ “ชั้นข้อมูลใหม่” ที่มีลักษณะเป็น Polygon ซึ่งแสดงถึงบริเวณโดยรอบของ Feature เป้าหมาย


🧭 หลักการของการใช้ Buffer

  1. Input Layer: เลือก Feature เช่น ตำแหน่งโรงพยาบาล
  2. Buffer Distance: กำหนดระยะ เช่น 1,000 เมตร
  3. Output Layer: ได้ Polygon ที่แสดงเขตรัศมีรอบโรงพยาบาล 1 กม.
  4. หน่วยของระยะ: ต้องสัมพันธ์กับระบบพิกัด (CRS)

หากไม่เลือก (Select) Feature ใด ระบบจะ Buffer ทุก Feature ใน Layer


🛠️ ประเภทของ Buffer

ประเภทคำอธิบาย
Single Bufferใช้ระยะทางเดียว เช่น 500 เมตร
Multiple Ring Bufferสร้างหลายระยะพร้อมกัน เช่น 500 ม., 1000 ม., 1500 ม.
Variable Distance BufferBuffer ตามค่าจากฟิลด์ เช่น Buffer แต่ละจุดตามขนาดประชากร
Inside/Outside Bufferใช้เฉพาะกับ Polygon – Buffer ภายในหรือภายนอกพื้นที่

🧪 ตัวอย่างการประยุกต์

กรณีศึกษาจุดประสงค์ระยะ Buffer
หาเขตรัศมีบริการของโรงเรียนประเมินความเพียงพอในการเข้าถึง2 กม.
ประเมินผลกระทบเสียงจากสนามบินประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม5 กม.
ค้นหาชุมชนใกล้แนวเสาไฟฟ้าแรงสูงใช้ประเมินความเสี่ยง500 ม.

🧰 เครื่องมือใน ArcGIS Pro

เครื่องมือรายละเอียด
Bufferสร้างเขตรัศมีรอบ Feature
Multiple Ring Bufferสร้าง Buffer หลายระดับ
Graphic Bufferใช้กับ Element บน Layout
Buffer Analysis Toolอยู่ในชุด Analysis Tools > Proximity

Field Calculator ตัวอย่าง (สำหรับระยะ Buffer จากฟิลด์):

pythonCopyEdit"Buffer_Distance"  # หน่วยตามฟิลด์ เช่น เมตร

🧠 ข้อควรระวัง

  • Buffer Distance ต้องสัมพันธ์กับระบบพิกัด: ควรใช้ Projected CRS เช่น UTM (เพื่อให้ระยะทางถูกต้อง)
  • Polygon ที่ซ้อนกันจาก Buffer หลายจุด อาจต้องใช้เครื่องมือ Dissolve เพื่อลดความซับซ้อน
  • การ Buffer รอบเส้นอาจเกิดรูปทรงไม่ต่อเนื่องในบางพิกัดที่โค้งแหลม ต้องตรวจสอบ topology

📊 ผลลัพธ์ของการใช้ Buffer

  • ได้พื้นที่ที่สามารถนำไปใช้ Intersect, Clip, Erase กับข้อมูลอื่น
  • รองรับการวิเคราะห์พื้นที่คุ้มครอง พื้นที่เสี่ยง และการบริหารจัดการทรัพยากร
  • เป็นพื้นฐานของ Suitability Analysis, Network Analysis, และ Accessibility Mapping

รูปที่ 6.7 การหาแนวระยะห่างด้วย Buffer

๒) การตัดขอบเขตข้อมูลด้วย Clip – Clips one theme using another


🧭 ความหมายของ “Clip” ในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS)

การตัดขอบเขตข้อมูลด้วย Clip คือกระบวนการเชิงพื้นที่ที่ใช้ ชั้นข้อมูลหนึ่ง (Clip Feature) ทำหน้าที่เป็นขอบเขตในการตัดข้อมูลจากอีกชั้นข้อมูลหนึ่ง (Input Feature) โดยผลลัพธ์จะเป็น เฉพาะส่วนของข้อมูลที่อยู่ภายในขอบเขต ของชั้น Clip นั้น

✅ Clip จึงเป็นเครื่องมือที่ใช้ ตัดข้อมูลตามพื้นที่ที่สนใจ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลเชิงบรรยาย (Attribute Data) เดิม

รูปที่ 6.8 การตัดขอบเขตข้อมูลด้วย Clip


🛠️ หลักการทำงานของ Clip

องค์ประกอบบทบาท
Theme to be clipped (Input Features)ชั้นข้อมูลหลักที่ต้องการตัด เช่น Landuse ทั้งประเทศ
Clip Feature (Clip Layer)ขอบเขตที่ใช้ตัด เช่น เขตอำเภอเมือง
Output Layerข้อมูลใหม่ที่มีเฉพาะส่วนที่อยู่ภายในขอบเขตของ Clip Feature

📐 ตัวอย่างเชิงปฏิบัติ

วัตถุประสงค์Input LayerClip Layerผลลัพธ์
ตัดข้อมูลการใช้ที่ดินเฉพาะอำเภอเมืองThailand_Landuse.shpMuang_District.shpLanduse_Muang.shp
ตัดชั้นข้อมูลการระบาดของโรคให้เหลือเฉพาะในภาคเหนือDisease.shpNorthern_Region.shpDisease_North.shp

🧰 เครื่องมือ Clip ใน ArcGIS Pro

  • ตำแหน่ง: Analysis > Tools > Analysis Tools > Extract > Clip
  • พารามิเตอร์:
    • Input Features → ชั้นข้อมูลที่ต้องการตัด
    • Clip Features → ขอบเขตที่ใช้ตัด
    • Output Feature Class → กำหนดชื่อไฟล์ผลลัพธ์

ตัวอย่างการสั่งผ่าน Python (ArcPy):

pythonCopyEditarcpy.Clip_analysis("landuse", "district_boundary", "landuse_clipped")

🔍 ความแตกต่างจากเครื่องมืออื่น (เช่น Intersect, Erase)

เครื่องมือลักษณะเฉพาะผลลัพธ์
Clipตัดเฉพาะ geometry แต่ไม่รวม attribute จาก clip layerGeometry ตาม input
Intersectแสดงเฉพาะส่วนที่ทับซ้อน และรวม attribute จากทั้งสองชั้นGeometry ใหม่พร้อม attribute ผสม
Eraseตัดส่วนที่ทับซ้อนออกเหลือเฉพาะส่วนที่ไม่ทับซ้อนกับ clip layer

🧠 ข้อควรระวัง

  • ทั้งสองชั้นข้อมูลควรอยู่ในระบบพิกัดเดียวกัน (Projected CRS)
  • Output จะไม่มี geometry ที่อยู่นอกขอบเขตของ Clip Layer
  • ถ้าชั้น Clip ไม่ใช่ Polygon (เช่น ใช้จุดหรือเส้น) การ Clip จะไม่ได้ผล

📊 ประโยชน์ของการใช้ Clip

ด้านการวิเคราะห์ประโยชน์
ความแม่นยำกำหนดขอบเขตพื้นที่ศึกษาได้ชัดเจน
ความยืดหยุ่นรองรับการวิเคราะห์เฉพาะพื้นที่ย่อยจากข้อมูลขนาดใหญ่
ความประหยัดลดภาระในการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูล
การเตรียมข้อมูลใช้สร้างข้อมูลเฉพาะพื้นที่เป้าหมาย เช่น เขตการปกครอง, ลุ่มน้ำ ฯลฯ

🎯 กรณีศึกษาแนะนำ

  • Clip ข้อมูลภูมิประเทศเฉพาะเขตลุ่มน้ำ เพื่อวิเคราะห์การใช้ที่ดิน
  • Clip ข้อมูลเส้นทางคมนาคมเฉพาะจังหวัด เพื่อประเมินแผนพัฒนาท้องถิ่น
  • Clip Raster (DEM, NDVI) เพื่อสร้างโมเดลความเหมาะสมเชิงพื้นที่ (ใช้ Extract by Mask)

๓) การหาพื้นที่ซ้อนทับด้วย Union

๓) การหาพื้นที่ซ้อนทับด้วย Union – Overlays Two Polygon Themes เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญของ การวิเคราะห์เชิงพื้นที่ (Spatial Overlay Analysis) ที่ใช้ในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) โดยเน้นการรวมข้อมูลเชิงพื้นที่ของ สองชั้นข้อมูลแบบ Polygon หรือมากกว่านั้น เพื่อสร้างชุดข้อมูลใหม่ที่ผนวกคุณลักษณะจากทุกชั้นเข้าด้วยกันอย่างครบถ้วน


🧭 ความหมายของ Union ใน GIS

Union คือฟังก์ชันที่ใช้ในการ รวมพื้นที่จาก 2 ชั้นข้อมูลประเภท Polygon โดยผลลัพธ์ที่ได้คือ:

  • พื้นที่ใหม่ที่ประกอบด้วย ทุกส่วนของพื้นที่จากทั้งสองชุด ทั้งที่ซ้อนกันและไม่ซ้อนกัน
  • ตารางข้อมูล (Attribute Table) ที่รวมข้อมูลจากทั้งสองชั้น
  • geometry ของพื้นที่จะถูก แบ่งตามขอบเขตที่ทับซ้อนกัน และข้อมูลเชิงบรรยายจะถูกจัดสรรตามพื้นที่นั้น

✅ Union จึงเป็น “การรวมแบบครอบคลุม” ซึ่งตรงข้ามกับ Intersect ที่ให้เฉพาะส่วนที่ซ้อนทับกันเท่านั้น

รูปที่ 6.9 การหาพื้นที่ซ้อนทับด้วย Union


🧠 หลักการทำงานของ Union

องค์ประกอบบทบาท
Input Feature 1Polygon ชั้นแรก เช่น พื้นที่ใช้ที่ดิน
Input Feature 2Polygon ชั้นที่สอง เช่น เขตพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม
Output LayerPolygon ใหม่ที่แสดงทุกพื้นที่ทั้งที่ทับซ้อนและไม่ทับซ้อน พร้อม attribute จากทั้งสองชั้นข้อมูล

🔢 คุณสมบัติทางคณิตศาสตร์ของ Union

  • เป็นการรวมแบบ Set Theory: A∪B=ทุกพื้นที่ที่อยู่ใน A หรือ B หรือทั้งสองA \cup B = \text{ทุกพื้นที่ที่อยู่ใน A หรือ B หรือทั้งสอง}A∪B=ทุกพื้นที่ที่อยู่ใน A หรือ B หรือทั้งสอง
  • รองรับการรวมมากกว่า 2 ชั้นข้อมูล
  • ใช้สำหรับสร้างโซนพื้นที่ใหม่ที่สะท้อนเงื่อนไขเชิงซ้อน เช่น พื้นที่ที่อยู่อาศัยซ้อนกับพื้นที่เสี่ยงภัย

🛠️ การใช้งาน Union ใน ArcGIS Pro

ขั้นตอนรายละเอียด
เครื่องมือAnalysis > Tools > Overlay > Union
Input Features2 ชั้นข้อมูล Polygon
Output Feature Classตั้งชื่อผลลัพธ์
Parameters เพิ่มเติมJoinAttributes = ALL, Gaps Allowed = TRUE/FALSE

ตัวอย่างคำสั่ง ArcPy:

pythonCopyEditarcpy.Union_analysis(["landuse.shp", "floodzone.shp"], "union_output.shp", "ALL", "", "GAPS")

📊 ตัวอย่างการประยุกต์

วัตถุประสงค์Input Layer 1Input Layer 2ผลลัพธ์ (Output)
วิเคราะห์ผลกระทบพื้นที่ตั้งโรงงานเขตนิคมอุตสาหกรรมเขตเสี่ยงมลพิษพื้นที่ทับซ้อน + ผลกระทบรายจุด
วางแผนความเหมาะสมที่ดินแผนที่ชุดดินแผนที่การใช้ประโยชน์ที่ดินโซนดิน-การใช้ที่ดิน เพื่อการวางแผนเกษตร
วิเคราะห์พื้นที่กันชนรอบแหล่งอนุรักษ์เขตกันชน Buffer 3 กม.เขตป่าอนุรักษ์วิเคราะห์ผลกระทบต่อระบบนิเวศ

🧠 ผลลัพธ์ของ Union

  • ได้ polygon ใหม่ที่รวมโครงสร้างพื้นที่ของทั้งสองชั้น
  • แต่ละ polygon ใหม่จะมี field ข้อมูลของทั้งสองชุด เช่น Landuse_Type, Flood_Risk_Level
  • เหมาะกับการทำ Suitability Mapping, Risk Analysis, และ Zoning Policy

🚧 ข้อควรระวัง

ประเด็นข้อแนะนำ
ระบบพิกัดต้องใช้ระบบพิกัดเดียวกัน (Coordinate System)
Attribute Tableจะมีข้อมูลมากขึ้นอย่างมาก (รวม field ของทุกชั้น)
Gapsหากเปิด “Gaps Allowed” จะสร้าง Polygon เล็กๆ ที่อาจไม่จำเป็น
Geometry ComplexityPolygon ที่ซ้อนซ้อนกันมากจะเพิ่มความซับซ้อนของ topology

✨ สรุป

หัวข้อคำอธิบาย
วัตถุประสงค์รวมข้อมูลเชิงพื้นที่จากหลายแหล่งเข้าด้วยกัน
ประเภทข้อมูลต้องเป็น Polygon เท่านั้น
ความแตกต่างจาก IntersectUnion รวมทั้งพื้นที่ซ้อนและไม่ซ้อน ส่วน Intersect ให้เฉพาะส่วนที่ทับซ้อน
ผลลัพธ์ชั้นข้อมูลใหม่พร้อมข้อมูลเชิงบรรยายจากทุกชั้นที่นำมารวม

๔) การหาพื้นที่ซ้อนทับแบบ Intersect

๔) การหาพื้นที่ซ้อนทับแบบ Intersect – Overlays Two Themes and Preserves Only Features That Intersect ถือเป็นหนึ่งในกระบวนการ Overlay Analysis ที่ทรงพลังและมีความแม่นยำสูงในการคัดเลือกเฉพาะส่วนของข้อมูลที่ มีพื้นที่ทับซ้อนกันเท่านั้น โดยช่วยให้การวิเคราะห์พื้นที่เป้าหมายมีความชัดเจนและตรงจุด


🧭 ความหมายของ Intersect ใน GIS

Intersect คือการซ้อนทับข้อมูล สองชุดหรือมากกว่า (เรียกว่า Input Features) โดยผลลัพธ์จะเป็น เฉพาะส่วนของพื้นที่ที่มีการทับซ้อนกันเท่านั้น และ ค่าคุณลักษณะ (Attributes) จากทุก theme ที่เกี่ยวข้องจะถูกรวมไว้ในผลลัพธ์ด้วย

✅ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการ “คัดเลือกพื้นที่เป้าหมาย” ที่อยู่ในเงื่อนไขทางภูมิศาสตร์ ทั้งสองชุด พร้อมกัน

รูปที่ 6.10 การหาพื้นที่ซ้อนทับแบบ Intersect


🔎 หลักการทำงานของ Intersect

องค์ประกอบรายละเอียด
Input Theme (In-theme)ข้อมูลต้นทาง อาจเป็น Point, Line หรือ Polygon
Intersect Themeต้องเป็น Polygon
Output Layerเฉพาะ features ที่ “ทับซ้อนกัน” เท่านั้น และมี geometry เป็นชนิดที่ต่ำกว่าหรือเท่ากับ Input ต่ำสุด

ตัวอย่าง:

  • Point ∩ Polygon → ได้เฉพาะจุดที่อยู่ใน polygon
  • Polygon ∩ Polygon → ได้เฉพาะพื้นที่ที่ทับกัน
  • Line ∩ Polygon → ได้เฉพาะเส้นที่ตัดผ่าน polygon

🛠️ การใช้งาน Intersect ใน ArcGIS Pro

ขั้นตอนรายละเอียด
เครื่องมือAnalysis > Tools > Overlay > Intersect
Input Features2 ชั้นข้อมูล เช่น Forest และ Protected_Area
Outputได้เฉพาะ polygon ที่อยู่ทั้งใน Forest และ Protected_Area
Output TypeGeometry ประเภทต่ำสุด เช่น หาก input เป็น polygon + line → ผลลัพธ์เป็น line

ArcPy ตัวอย่าง:

pythonCopyEditarcpy.Intersect_analysis(["landuse.shp", "floodzone.shp"], "landuse_flood_intersect")

📊 การประยุกต์ใช้ Intersect

วัตถุประสงค์Input 1Input 2ผลลัพธ์
หาพื้นที่ป่าไม้ที่อยู่ในเขตอนุรักษ์forestprotected_zoneพื้นที่ป่าในเขตอนุรักษ์เท่านั้น
หาพื้นที่ที่มีความเสี่ยงดินถล่มและอยู่ในหมู่บ้านlandslide_zonevillage_areaพื้นที่หมู่บ้านที่มีความเสี่ยง
หาจุดบ่อน้ำที่อยู่ในเขตเกษตรกรรมwells (point)agriculture_zone (polygon)เฉพาะบ่อน้ำในเขตเกษตร

📐 ความแตกต่างระหว่าง Intersect และ Union

ประเด็นIntersectUnion
ผลลัพธ์เฉพาะส่วนที่ “ทับซ้อน” เท่านั้นรวมทั้งที่ซ้อนและไม่ซ้อน
Geometryประเภทต่ำสุดของ inputPolygon เท่านั้น
Attribute Tableรวมข้อมูลทั้งสองชุดเฉพาะที่ตัดกันรวมข้อมูลทุกส่วนจากทุก theme

🧠 ประเด็นทางเทคนิคที่ควรระวัง

  • Input CRS (Coordinate Reference System) ควรตรงกันทั้งสอง theme
  • Intersect จะสร้าง geometry ใหม่ซึ่งอาจเพิ่มจำนวน features จาก input เดิม
  • หากทำ Intersect ระหว่างหลาย Layer พร้อมกัน ให้ระวังความซับซ้อนของ Attribute Table
  • ถ้าชั้นข้อมูลใดไม่มี feature ที่ทับซ้อนกันเลย ผลลัพธ์จะเป็น Layer ว่างเปล่า

💡 ตัวอย่างการใช้งานจริง (Use Case)

กรณีศึกษา: การวิเคราะห์ความเหมาะสมในการสร้างศูนย์อพยพ

  1. ใช้ชั้นข้อมูล พื้นที่ดินว่างเปล่า (Polygon)
  2. Intersect กับ พื้นที่ห่างจากน้ำท่วม (Buffer)
  3. Intersect กับ เขตการเข้าถึงถนน (Buffer รอบถนน)
  4. ผลลัพธ์: เฉพาะพื้นที่ที่ เป็นดินว่าง + อยู่ใน buffer ปลอดภัย + ใกล้ถนน

✨ สรุป

หัวข้อรายละเอียด
เครื่องมือIntersect (Overlay Tools)
จุดเด่นเลือกเฉพาะพื้นที่ที่ตรงกันทั้งสอง Theme
รูปแบบข้อมูลInput เป็น Point, Line, Polygon; Intersect Layer ต้องเป็น Polygon
ประโยชน์คัดกรองพื้นที่เป้าหมายในการวางแผน, ความเสี่ยง, ความเหมาะสม
ข้อควรระวังAttribute มากขึ้น, Geometry ซับซ้อนขึ้น, ต้องใช้ CRS เดียวกัน

๕) การหาพื้นที่ซ้อนทับข้อมูลแบบ Identity

๕) การหาพื้นที่ซ้อนทับข้อมูลแบบ Identity – Overlays Two Themes and Preserves Only Features That Fall Within the First Theme’s Extent
เป็นเทคนิคสำคัญในกระบวนการ Overlay Analysis ซึ่งมีจุดเด่นที่ รักษาขอบเขตของ In-Theme และ เสริมข้อมูลเชิงคุณลักษณะ (Attribute) จาก Identity Theme เฉพาะในพื้นที่ที่ทับซ้อนเท่านั้น จึงเหมาะกับกรณีที่ต้องการเพิ่มบริบทเชิงพื้นที่ให้กับข้อมูลที่ไม่มีข้อมูลสถานที่โดยตรง


🧭 ความหมายของการซ้อนทับแบบ Identity

Identity Overlay คือการซ้อนทับข้อมูล 2 ชั้น (Themes) โดย:

  • ใช้ขอบเขตของชั้นข้อมูลต้นทาง (In-Theme) เป็นขอบเขตหลักของผลลัพธ์
  • เพิ่มข้อมูลเชิงคุณลักษณะจาก Identity Theme เฉพาะในพื้นที่ที่ ทับซ้อนกันเท่านั้น
  • In-Theme สามารถเป็น Point, Line, Polygon, Multi-point
  • Identity Theme ต้องเป็น Polygon เท่านั้น

✅ ผลลัพธ์: Feature จาก In-Theme ที่ถูก “เติมเต็ม” ด้วยข้อมูลของพื้นที่ที่มันตั้งอยู่บน Identity-Theme

รูปที่ 6.11 การหาพื้นที่ซ้อนทับแบบ Identity


📐 หลักการทำงานของ Identity

บทบาทรายละเอียด
In-Themeข้อมูลหลักที่ต้องการระบุตำแหน่งหรือขอบเขต เช่น สถานีวัดน้ำฝน
Identity ThemePolygon ที่มีข้อมูลอ้างอิงเชิงพื้นที่ เช่น เขตตำบล
ผลลัพธ์ (Output)Features เดิมจาก In-Theme ที่มีข้อมูลของ Identity Theme เพิ่มเติม เฉพาะในส่วนที่ทับซ้อนกัน

📊 ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน

วัตถุประสงค์In-ThemeIdentity Themeผลลัพธ์
รู้ว่าสถานีตรวจวัดอากาศตั้งอยู่ในตำบลใดRain_Stations (Point)Subdistricts (Polygon)จุดวัดฝนพร้อมชื่ออำเภอ/ตำบล
แสดงถนนที่อยู่ในเขตเทศบาลใดRoads (Line)Municipality Boundaries (Polygon)เส้นถนนพร้อมข้อมูลเขตเทศบาล
เชื่อมข้อมูลจุดผู้ป่วยกับเขตสาธารณสุขPatient_LocationsHealth_Zonesจุดผู้ป่วยพร้อมข้อมูลเขตสุขภาพ

🛠️ การใช้งาน Identity Tool ใน ArcGIS Pro

รายการคำอธิบาย
เครื่องมือAnalysis > Tools > Overlay > Identity
Input Features (In-Theme)ข้อมูลที่ต้องการเติมข้อมูลเชิงพื้นที่ เช่น จุด สาย
Identity Featuresข้อมูล Polygon เช่น เขตการปกครอง
Output Feature Classผลลัพธ์ของการ Overlay

ArcPy ตัวอย่าง:

pythonCopyEditarcpy.Identity_analysis("rain_station.shp", "subdistricts.shp", "station_with_location.shp")

📌 จุดเด่นของ Identity

  • ไม่ตัดหรือเปลี่ยนขอบเขตของ In-Theme – Geometry คงเดิม
  • ✅ ใช้เพื่อ เติมข้อมูลเชิงพื้นที่ ให้กับชุดข้อมูลที่ไม่มี spatial context เด่นชัด
  • ✅ ดึงเฉพาะ attribute จาก Identity Theme ที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ทับซ้อน

🧠 ความแตกต่างจาก Overlay แบบอื่น

เครื่องมือขอบเขตผลลัพธ์Attribute OutputInput Feature Type
Intersectพื้นที่ที่ทับซ้อนเท่านั้นจากทุก theme ที่ทับกันต้องเป็น polygon
Unionรวมทั้งพื้นที่ที่ทับซ้อนและไม่ทับซ้อนจากทุก themePolygon เท่านั้น
Identityคงเฉพาะ Geometry ของ In-Themeเติมข้อมูลจาก Identity-Theme ที่ทับกันIn-Theme = point/line/polygon

⚠️ ข้อควรระวัง

  • ระบบพิกัด (CRS) ของทั้งสอง Layer ควรตรงกัน
  • Identity Theme ต้องเป็น Polygon เท่านั้น
  • หาก In-Theme อยู่ นอกขอบเขต Identity → ข้อมูลจาก Identity จะเป็น NULL

🎯 สรุปภาพรวม

หัวข้อรายละเอียด
วัตถุประสงค์เพิ่มข้อมูลเชิงพื้นที่ให้กับ Features โดยใช้ Polygon อ้างอิง
ประเภทข้อมูลIn-Theme: Point/Line/Polygon / Identity-Theme: Polygon
ผลลัพธ์ข้อมูล In-Theme ที่มี attribute เพิ่มจากพื้นที่ที่ทับซ้อน
ใช้งานเมื่อต้องการเชื่อมโยงจุด/เส้น กับพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ เช่น เขตการปกครอง

๖) การเชื่อมต่อข้อมูลแผนที่ MapJoin และ Merge

๖) การเชื่อมต่อข้อมูลแผนที่ MapJoin และ Merge เป็นกระบวนการในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) ที่มุ่งเน้นการรวมข้อมูลเชิงพื้นที่ (Graphic Features) จากหลายชั้นข้อมูล (Themes) เข้าด้วยกันให้กลายเป็น Theme เดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อข้อมูลเดิมมาจากแหล่งที่แยกกันแต่มีความสัมพันธ์ทางพื้นที่หรือพิกัดต่อเนื่องกัน เช่น แผนที่อำเภอรายจังหวัด หรือข้อมูลเส้นถนนรายตำบล


🧭 ความหมายของ MapJoin และ Merge

🔹 MapJoin

  • หมายถึงการ เชื่อมต่อชั้นข้อมูล GIS หลายชุดที่มีลักษณะเชิงพื้นที่ติดกันหรือใกล้เคียงกัน
  • ใช้ในบริบทของการ ประกอบพื้นที่ เช่น การต่อแผนที่ชุดดินรายอำเภอให้ครอบคลุมทั้งจังหวัด
  • เหมาะกับข้อมูลที่แยกเป็นหลายไฟล์ เช่น .shp รายอำเภอ → รวมเป็นจังหวัด

🔹 Merge

  • คือเครื่องมือที่ใช้ รวมหลาย Feature Classes หรือ Layers ที่มีประเภท Geometry เดียวกัน (Point/Line/Polygon)
  • ไม่จำเป็นต้องมีขอบเขตติดกันก็ได้
  • Attribute fields ต้องมีชนิดข้อมูลเดียวกันหรือจัดโครงสร้างให้สอดคล้องก่อนจึงจะ Merge ได้สมบูรณ์

รูปที่ 6.12 การเชื่อมต่อข้อมูลแผนที่ MapJoin และ Merge


🛠️ การใช้งาน MapJoin/Merge ใน ArcGIS

เครื่องมือ: Merge

  • ที่ตั้ง: Data Management Tools > General > Merge
  • พารามิเตอร์:
    • Input Datasets: ชื่อชั้นข้อมูลที่จะรวม
    • Output Dataset: ตั้งชื่อชั้นข้อมูลใหม่ที่ได้จากการรวม
    • Field Mapping: กำหนดว่าจะรวม/จับคู่ field อย่างไร

ตัวอย่างการใช้ ArcPy:

pythonCopyEditarcpy.Merge_management(["road1.shp", "road2.shp"], "merged_roads.shp")

📐 ลักษณะการใช้งาน

MapJoin / Mergeวัตถุประสงค์ตัวอย่าง
MapJoinต่อแผนที่ที่แยกกันเป็นพื้นที่ย่อยให้เป็นชุดเดียวรวม shapefile รายอำเภอเป็น shapefile รายจังหวัด
Mergeรวมข้อมูลหลายชั้นเข้าด้วยกัน แม้ไม่ได้ติดกันรวมเส้นถนนจากหลายประเภท เช่น ถนนหลัก, ถนนรอง

🧠 ความแตกต่างระหว่าง Merge และ Union

ประเด็นMergeUnion
Geometryต้องเป็นชนิดเดียวกันเฉพาะ Polygon
Attributeคงค่าเดิมหรือจัด Field Mappingรวม Field จากทั้ง 2 ชั้น
ความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ไม่จำเป็นต้องมีมีการจัดการพื้นที่ซ้อนทับ
การประมวลผลเร็วกว่าซับซ้อนกว่า

📊 ตัวอย่างการประยุกต์ใช้

กรณีศึกษาข้อมูลที่ใช้วิธี
ต่อแผนที่ใช้ที่ดินทั้ง 4 ภูมิภาคShapefile แยกเป็นภาคMapJoin/Merge
รวมข้อมูลเส้นทางคมนาคมจากทุกจังหวัดRoads_Chiangmai.shp, Roads_Lamphun.shpMerge
รวมจุดตรวจคุณภาพน้ำจากหลายแหล่งจุดวัดจากกรมควบคุมมลพิษ และ กปน.Merge + Field Mapping

⚠️ ข้อควรระวังในการใช้ Merge

ประเด็นข้อควรพิจารณา
CRS (Coordinate Reference System)ควรใช้ระบบพิกัดเดียวกัน
Field Mappingต้องจัดโครงสร้างข้อมูลให้เข้ากัน
ความซ้ำซ้อนของ IDอาจต้องสร้างรหัสใหม่ เช่น Zone_ID หรือ Region_Code

✨ สรุป

หัวข้อรายละเอียด
MapJoinการรวมแผนที่ที่ติดกันเพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่ใหญ่ขึ้น
Mergeการรวมข้อมูลเชิงพื้นที่ที่มี Geometry เดียวกันเข้าด้วยกัน
ประโยชน์ลดจำนวน Layer, สร้างฐานข้อมูลขนาดใหญ่, เตรียมข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์เชิงภูมิศาสตร์

๗) การรวมขอบเขตข้อมูลด้วย Dissolve

๗) การรวมขอบเขตข้อมูลด้วย Dissolve – Removes Borders Between Polygons Which Share the Same Values
เป็นฟังก์ชันพื้นฐานที่สำคัญในกระบวนการจัดการข้อมูลเชิงพื้นที่ (Geospatial Data Management) โดยเน้นการ ลดความซับซ้อนของข้อมูล, ลบขอบเขตที่ไม่จำเป็น, และช่วยให้การนำเสนอข้อมูลเชิงพื้นที่มีความชัดเจนและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น


🧭 ความหมายของ Dissolve

Dissolve คือเครื่องมือในระบบ GIS ที่ใช้ในการ รวมพื้นที่ (Polygons) ซึ่ง มีค่าคุณลักษณะ (Attribute) ที่เหมือนกัน เข้าด้วยกัน โดยลบเส้นขอบเขต (Boundary lines) ระหว่าง Polygon ที่ต่อเนื่องกันเหล่านั้น

✅ ผลลัพธ์ที่ได้คือ Polygon ใหม่ที่รวมจากหลาย Polygon เดิม โดยมีข้อมูลเหมือนกันในฟิลด์ที่กำหนด และลดจำนวน Feature ใน Layer

รูปที่ 6.13 การรวมขอบเขตข้อมูลด้วย Dissolve


📐 หลักการของการใช้ Dissolve

เงื่อนไขผลลัพธ์
Polygon หลายรูปมีค่าใน Field เดียวกันถูกหลอมรวมเป็น Polygon เดียว
Polygon มีค่าไม่ตรงกันยังคงอยู่แยกกัน
ใช้กับข้อมูลประเภทPolygon เท่านั้น

🛠️ การใช้งาน Dissolve ใน ArcGIS Pro

  • เครื่องมือ: Data Management Tools > Generalization > Dissolve
  • พารามิเตอร์สำคัญ:
    • Input Features: ชั้นข้อมูลต้นทาง
    • Dissolve Fields: ฟิลด์ที่ใช้เป็นเกณฑ์ในการรวม
    • Statistics Fields (ทางเลือก): เช่น SUM, AVERAGE สำหรับฟิลด์เชิงปริมาณ
    • Output Feature Class: ตั้งชื่อ Layer ใหม่

ตัวอย่าง ArcPy:

pythonCopyEditarcpy.Dissolve_management("provinces.shp", "region_dissolved.shp", "Region_Name")

🧪 ตัวอย่างการประยุกต์

วัตถุประสงค์ชั้นข้อมูลฟิลด์ที่ Dissolveผลลัพธ์
รวมจังหวัดที่อยู่ในภาคเดียวกันProvincesRegionPolygon แสดงแต่ละภาค
รวมพื้นที่ป่าไม้ตามประเภทForest_AreaForest_TypePolygon แสดงป่าประเภทต่างๆ
รวมแปลงเกษตรที่มีเจ้าของเดียวกันFarmsOwner_IDPolygon แสดงกรรมสิทธิ์รายบุคคล

📊 ประโยชน์ของ Dissolve

ประเด็นประโยชน์ที่ได้รับ
✅ ลดจำนวน Featuresเพิ่มประสิทธิภาพในการแสดงผลและประมวลผล
✅ ทำให้ Theme มีความเรียบง่ายช่วยในการสร้างแผนที่เชิงธีม
✅ รองรับการวิเคราะห์ระดับภูมิภาคเช่น วางแผนทรัพยากรในระดับภาค จังหวัด
✅ ใช้ร่วมกับ Buffer, Union, Intersectเพื่อการวิเคราะห์เชิงซ้อนในระดับสูงขึ้น

🧠 ข้อควรระวัง

ประเด็นข้อแนะนำ
ระบบพิกัดตรวจสอบ CRS ให้ตรงกันก่อน
ฟิลด์ต้องเลือกฟิลด์ที่มีค่าซ้ำได้และมีความหมายในการรวม
Attribute อื่น ๆข้อมูลจากฟิลด์อื่นจะ ไม่ถูกเก็บไว้ เว้นแต่ระบุ Statistics เพิ่มเติม

🧰 การใช้งานใน QGIS

  • เครื่องมือ: Vector > Geoprocessing Tools > Dissolve
  • มีตัวเลือกให้รวมทั้ง Layer หรือกำหนดฟิลด์จำแนก
  • สามารถใช้ Expression เพื่อรวมแบบมีเงื่อนไขขั้นสูง

✨ สรุป

หัวข้อรายละเอียด
เครื่องมือDissolve (ArcGIS/QGIS)
ใช้กับPolygon
จุดประสงค์รวม Feature ที่มีค่าคุณลักษณะเหมือนกัน
ผลลัพธ์Layer ที่มีจำนวน Feature น้อยลง แต่ข้อมูลชัดเจนขึ้น
ตัวอย่างรวมตำบลตามอำเภอ, รวมพื้นที่ใช้ที่ดินตามประเภท

๘) การลบแล้วรวมข้อมูลด้วย Eliminate

๘) การลบแล้วรวมข้อมูลด้วย Eliminate – Removes the Longest Border on Selected Polygons
เป็นเทคนิคสำคัญในการ ปรับปรุงความถูกต้องของข้อมูลเชิงพื้นที่ (Topological Cleaning) โดยเฉพาะในกระบวนการจัดการกับ “โพลิกอนที่มีขนาดเล็กเกินไปหรือไม่พึงประสงค์ (spatial noise)” ที่เกิดจากการจำแนกหรือแยกข้อมูลในระดับละเอียด เช่น การจำแนกการใช้ที่ดิน หรือการสร้างแผนที่จากภาพถ่ายดาวเทียม


🧭 ความหมายของ Eliminate

Eliminate คือฟังก์ชันที่ใช้ในการ ลบ polygon ที่ถูกเลือก (ซึ่งมักมีขนาดเล็กหรือเป็น noise) โดยจะทำการ:

  • ลบขอบเขต (border) ที่ยาวที่สุดของ polygon ที่ถูกเลือก
  • รวม (merge) polygon ดังกล่าวเข้ากับ polygon ข้างเคียงที่มีพื้นที่ติดกัน
  • เหมาะสำหรับใช้กับ ผลลัพธ์จากการ reclassify หรือ raster-to-vector conversion ซึ่งมักมีเศษ polygon จำนวนมาก

✅ วัตถุประสงค์หลักคือ ลดความซับซ้อนของแผนที่, ลบข้อผิดพลาดเล็กน้อย, และ ปรับปรุงความสมบูรณ์ของข้อมูล

รูปที่ 6.14 การลบแล้วรวมข้อมูลด้วยEliminate


🛠️ การใช้งาน Eliminate ใน ArcGIS Pro

พารามิเตอร์คำอธิบาย
Input FeaturesPolygon Layer ที่ต้องการลบพื้นที่เล็ก
Selectionต้องเลือก Polygon ที่จะ Eliminate ก่อน (เช่นโดย query หรือ manual)
Eliminate Methodมี 2 แบบ:
  • LENGTH: ลบเส้นที่ยาวที่สุด
  • AREA: ลบ polygon ที่เล็กที่สุดและรวมกับข้างเคียงที่ใหญ่กว่า | | Output Feature Class | ตั้งชื่อ Layer ใหม่หลังการรวม

ตัวอย่างคำสั่ง ArcPy:

pythonCopyEditarcpy.Eliminate_management("landuse_poly", "landuse_cleaned", "LENGTH")

📐 หลักการทำงานของ Eliminate

ขั้นตอนกระบวนการ
1. การเลือก Featureเลือก Polygon ที่เป็น noise (เช่น พื้นที่เล็กกว่า 100 ตร.ม.)
2. การประเมินขอบเขตวิเคราะห์ border กับ polygon ข้างเคียง
3. การรวมลบ polygon เดิม → รวม geometry และ attribute กับ polygon ที่ติดกัน

📊 ตัวอย่างการประยุกต์ใช้

กรณีศึกษาชั้นข้อมูลPolygon ที่ Eliminateผลลัพธ์
ลบเศษ polygon จากการจำแนกภาพถ่ายดาวเทียมLandcover ClassificationPolygon < 200 ตร.ม.ได้ชั้นข้อมูลที่เรียบร้อยขึ้น
ปรับปรุงข้อมูลแผนที่เขตชุมชนUrban ZonesPolygon ที่เป็นทางเดินแคบไม่สื่อความหมายรวมเข้ากับโซนหลัก
ทำความสะอาดหลังการ Convert Raster → VectorNDVI-based ZonesPixel-based polygonรวมให้เป็นกลุ่มเดียวที่ต่อเนื่อง

🧠 ข้อควรระวังในการใช้ Eliminate

ประเด็นคำแนะนำ
✅ ต้องเลือก Feature ก่อนไม่ทำงานถ้าไม่มีการเลือก polygon ที่ต้องการลบ
✅ ควรสำรองข้อมูลเดิมการลบและรวมข้อมูลมีผลถาวร
✅ ระวังการรวมผิดประเภทหาก attribute ต่างกัน การ Merge อาจทำให้ข้อมูลผิดเพี้ยน
❌ ไม่รองรับ point/lineใช้ได้เฉพาะ Polygon geometry เท่านั้น

✨ เปรียบเทียบ Eliminate กับ Dissolve

ประเด็นEliminateDissolve
จุดประสงค์ลบ Polygon เล็ก/ไม่พึงประสงค์รวม polygon ที่มี attribute เหมือนกัน
การเลือกต้องเลือก Feature ล่วงหน้าใช้ฟิลด์ attribute เป็นเงื่อนไข
Outputรวมเฉพาะที่เลือกรวมทั้ง Layer ตามเงื่อนไข
เหมาะกับCleaning dataGeneralizing thematic layers

🎯 สรุป

หัวข้อรายละเอียด
เครื่องมือEliminate (เฉพาะ ArcGIS Pro/ArcMap Advanced License)
ใช้กับPolygon ที่เป็นเศษ/ไม่พึงประสงค์
วิธีลบขอบเขตที่ยาวที่สุด หรือรวมพื้นที่เล็กเข้ากับข้างเคียง
ผลลัพธ์Layer ที่เรียบง่ายขึ้น เหมาะกับการตีความหรือวิเคราะห์

๙) การลบข้อมูลด้วย Erase Cover

๙) การลบข้อมูลด้วย Erase Cover – Erases from One Theme Using Another
เป็นเทคนิคในกระบวนการ วิเคราะห์เชิงพื้นที่แบบซ้อนทับ (Overlay Analysis) ที่มีลักษณะกลับกันกับการใช้คำสั่ง Clip โดย เน้นการลบ (Subtract) พื้นที่ที่ไม่ต้องการออกจากชั้นข้อมูลต้นทาง ซึ่งเป็นวิธีที่มีประโยชน์ในการ ทำความสะอาดข้อมูล (Data Cleaning) หรือ ตัดพื้นที่ที่ไม่มีความจำเป็นทางวิเคราะห์


🧭 ความหมายของ Erase Cover

Erase คือฟังก์ชันในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) ที่ใช้สำหรับ ลบพื้นที่ของแผนที่ต้นทาง (In-Theme) ที่ ซ้อนทับกับอีกชั้นข้อมูลหนึ่ง (Erase-Theme) โดยผลลัพธ์ที่ได้คือ เฉพาะพื้นที่ของ In-Theme ที่อยู่นอกขอบเขตของ Erase-Theme

✅ กล่าวอีกแบบ: เป็นการ “หักลบพื้นที่ที่ไม่ต้องการออก” โดยใช้ polygon จากชั้นอื่นเป็นตัวตัดออก

รูปที่ 6.15 การลบข้อมูลด้วย Erase Cover


🔁 ความสัมพันธ์ระหว่าง Clip กับ Erase

เครื่องมือผลลัพธ์เหลือ
Clipตัดข้อมูลที่อยู่ “ภายใน” ขอบเขตที่กำหนดสิ่งที่อยู่ “ข้างใน”
Eraseลบข้อมูลที่อยู่ “ภายใน” ขอบเขตที่กำหนดเหลือเฉพาะ “ข้างนอก”

🛠️ การใช้งาน Erase ใน ArcGIS Pro

  • เครื่องมือ: Analysis > Tools > Overlay > Erase
  • พารามิเตอร์:
    • Input Features (In-Theme): ชั้นข้อมูลต้นฉบับที่ต้องการลบ
    • Erase Features: Polygon ที่ใช้ลบ
    • Output Feature Class: ชั้นข้อมูลใหม่หลังลบ

ตัวอย่าง ArcPy:

pythonCopyEditarcpy.Erase_analysis("landuse_all.shp", "urban_area.shp", "landuse_nonurban.shp")

📐 ลักษณะข้อมูลที่รองรับ

ประเภท Geometryรองรับโดย Erase
Point
Line
Polygon
Multi-point

⚠️ แต่ Erase Theme ต้องเป็น Polygon เท่านั้น


📊 ตัวอย่างการประยุกต์ใช้

วัตถุประสงค์In-ThemeErase-Themeผลลัพธ์
ตัดพื้นที่ป่าไม้ที่อยู่ในเขตเมืองออกForestUrban_Areaเฉพาะป่าที่อยู่นอกเขตเมือง
ตัดถนนที่อยู่ในเขตหวงห้ามRoadsMilitary_Zoneเฉพาะถนนนอกเขตทหาร
ตัดจุดตรวจสอบน้ำที่อยู่ในพื้นที่ชุมชนWater_StationsVillage_Areaจุดที่อยู่นอกชุมชนเท่านั้น

🧠 จุดเด่นของ Erase

ด้านประโยชน์
การควบคุมข้อมูลเชิงพื้นที่ใช้กำจัด Feature ที่ไม่ต้องการออกอย่างแม่นยำ
การวิเคราะห์สิ่งแวดล้อมเช่น ลบพื้นที่อนุรักษ์ออกจากเขตพัฒนา
การสร้างขอบเขตเป้าหมายใหม่เช่น ลบพื้นที่น้ำจากชั้นที่ดินเพื่อคำนวณพื้นที่ใช้สอยจริง

⚠️ ข้อควรระวัง

ประเด็นคำแนะนำ
CRS (ระบบพิกัด)ต้องตรงกันระหว่าง In-Theme และ Erase-Theme
Geometry typeErase Theme ต้องเป็น Polygon
AttributeOutput จะรักษาเฉพาะ Attribute ของ In-Theme

✨ สรุป

หัวข้อรายละเอียด
ชื่อเครื่องมือErase
จุดประสงค์ลบพื้นที่ที่ทับซ้อนกับ Polygon ที่กำหนด
ใช้กับIn-Theme: Point/Line/Polygon, Erase-Theme: Polygon เท่านั้น
ผลลัพธ์ข้อมูลเฉพาะที่อยู่นอกพื้นที่ที่กำหนด
ความต่างจาก ClipClip เหลือ “ด้านใน” ส่วน Erase เหลือ “ด้านนอก”

๑๐) ระยะทางระหว่างข้อมูลของ 2 Themes ด้วย Near

๑๐) ระยะทางระหว่างข้อมูลของ 2 Themes ด้วย Near – Calculates Distance from Features in One Theme to the Nearest Feature in Another Theme
เป็นกระบวนการสำคัญใน การวิเคราะห์เชิงตำแหน่ง (Proximity Analysis) ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการประเมิน ความใกล้ชิด, การเข้าถึง, ความเสี่ยง และการวางแผนบริการ โดยเฉพาะในด้านสาธารณสุข การคมนาคม และสิ่งแวดล้อม


🧭 ความหมายของเครื่องมือ Near

Near คือเครื่องมือที่ใช้ในระบบ GIS เพื่อ:

  • คำนวณ ระยะทางที่ใกล้ที่สุด (Nearest Distance) จากแต่ละ Feature ในชั้นข้อมูลหนึ่ง (Input Theme) ไปยัง Feature ที่ใกล้ที่สุดในอีกชั้นหนึ่ง (Near Theme)
  • ผลลัพธ์คือ ระยะทางในหน่วยที่เหมาะสมกับระบบพิกัด (Projected CRS) เช่น เมตรหรือกิโลเมตร
  • ระยะทางจะถูกบันทึกไว้ใน Field ชื่อ NEAR_DIST ใน Attribute Table ของ Input Layer
  • สามารถคำนวณ ค่า NEAR_FID ซึ่งบอกว่า Feature ใดเป็นจุดเป้าหมายที่ใกล้ที่สุด

✅ ไม่สามารถเลือก Feature เป้าหมายแบบเฉพาะเจาะจงได้
✅ ใช้กับข้อมูลประเภท Point, Line หรือ Polygon ก็ได้

รูปที่ 6.16 การหาระยะทางระหว่างข้อมูลของ 2 Themes ด้วย Near


🛠️ การใช้งาน Near Tool ใน ArcGIS Pro

พารามิเตอร์คำอธิบาย
Input Featuresข้อมูลต้นทาง เช่น ตำแหน่งบ้าน
Near Featuresข้อมูลเป้าหมาย เช่น โรงพยาบาล
Search Radius(ทางเลือก) ขอบเขตในการค้นหา
Locationเพิ่มพิกัดของ Near Feature ลงใน Attribute
Angleบอกมุมเชิงทิศทางจากต้นทางไปยังเป้าหมาย

ArcPy ตัวอย่าง:

pythonCopyEditarcpy.analysis.Near("homes.shp", "hospitals.shp")

ผลลัพธ์จะมี:

  • NEAR_DIST → ระยะทาง
  • NEAR_FID → Object ID ของ Feature เป้าหมายที่ใกล้ที่สุด

📊 ตัวอย่างการประยุกต์ใช้

วัตถุประสงค์Input ThemeNear Themeผลลัพธ์
วัดระยะทางจากบ้านถึงโรงพยาบาลจุดบ้าน (Point)โรงพยาบาล (Point)NEAR_DIST บอกระยะทางของแต่ละบ้านถึงโรงพยาบาลใกล้สุด
วิเคราะห์ความสามารถเข้าถึงโรงเรียนหมู่บ้านโรงเรียนระยะทางเฉลี่ยไปยังโรงเรียนใกล้สุด
ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมโรงงานอุตสาหกรรมแหล่งน้ำหาระยะใกล้ที่สุดระหว่างโรงงานกับแม่น้ำ
วัดระยะทางจากไฟไหม้ถึงจุดจอดรถดับเพลิงจุดไฟไหม้สถานีดับเพลิงประเมินเวลาการเข้าถึงพื้นที่เสี่ยง

📐 ความเหมาะสมของการใช้ Near

เงื่อนไขเหมาะสม/ไม่เหมาะสม
การคำนวณระยะทางโดยรวม
การคำนวณเส้นทาง (routing) หรือ network distance❌ (ควรใช้ Network Analyst)
การวัดความหนาแน่นของการเข้าถึง
การเลือกเป้าหมายแบบเฉพาะเจาะจง❌ ไม่สามารถกำหนด Feature เป้าหมายเฉพาะได้

⚠️ ข้อควรระวัง

ประเด็นข้อแนะนำ
CRSควรใช้ Projected Coordinate System เพื่อความแม่นยำ
ความหนาแน่นของข้อมูลหาก Near Features มีจำนวนมาก ควรตั้ง Search Radius
Output Fieldจะเพิ่มฟิลด์ใหม่ใน Input Theme โดยตรง (NEAR_DIST, NEAR_FID)

✨ สรุป

หัวข้อรายละเอียด
ชื่อเครื่องมือNear (Proximity Analysis)
ประเภทข้อมูลใช้ได้กับ Point, Line, Polygon
จุดเด่นคำนวณระยะทางจากแต่ละ Feature ไปยัง Feature ที่ใกล้ที่สุดในอีกชั้นข้อมูล
Outputฟิลด์ NEAR_DIST (ระยะทาง) และ NEAR_FID (รหัส Feature ที่ใกล้ที่สุด)
ใช้สำหรับการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ด้านสุขภาพ ความเสี่ยง การวางแผนบริการ และการเข้าถึง

๑๑) การปรับแก้ข้อมูลพื้นที่บางส่วน (Update)

๑๑) การปรับแก้ข้อมูลพื้นที่บางส่วน (Update) – การแทนที่พื้นที่ใน Theme หนึ่งโดย Theme อื่นๆ
เป็นกระบวนการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ที่ใช้สำหรับ “แทนที่” ข้อมูลบางส่วนใน Theme หลัก (In-Theme) ด้วยข้อมูลใหม่ที่แม่นยำหรือมีการเปลี่ยนแปลงจาก Theme ที่สอง (Update-Theme) ซึ่งช่วยให้ฐานข้อมูลแผนที่มีความ ถูกต้อง ทันสมัย และสะท้อนข้อเท็จจริงในพื้นที่


🧭 ความหมายของคำสั่ง Update

Update คือการซ้อนทับ (Overlay) ข้อมูลเชิงพื้นที่ประเภท Polygon เท่านั้น โดยมีเป้าหมายเพื่อ:

  • แทนที่พื้นที่บางส่วนของ In-Theme ที่ซ้อนทับกับ Update-Theme
  • รักษาข้อมูลนอกพื้นที่ซ้อนทับไว้ตามเดิม
  • รวม Attribute Fields จากทั้ง In-Theme และ Update-Theme
  • ผลลัพธ์ที่ได้คือ Out-Theme ที่รวมทั้งโครงสร้างข้อมูลและขอบเขตใหม่

✅ คิดแบบง่าย: Update = แก้ไขเฉพาะส่วนที่เปลี่ยน + คงส่วนอื่นไว้

รูปที่ 6.17 การปรับแก้ข้อมูลพื้นที่บางส่วน Update


🔁 หลักการทำงานของ Update

องค์ประกอบบทบาท
In-Themeชั้นข้อมูลต้นฉบับที่ต้องการปรับปรุง เช่น ข้อมูลการใช้ที่ดินเดิม
Update-Themeข้อมูลที่อัปเดตใหม่ เช่น ข้อมูลการเปลี่ยนการใช้ที่ดินล่าสุด
Out-Themeชั้นข้อมูลใหม่ที่มีการแทนที่เฉพาะส่วนที่ทับซ้อนกับ Update-Theme และรวม Attribute ของทั้งสองชุด

🛠️ การใช้งาน Update Tool ใน ArcGIS Pro

  • ตำแหน่งเครื่องมือ:
    Analysis > Tools > Overlay > Update
  • พารามิเตอร์:
    • Input Features (In-Theme) → ชั้นข้อมูลหลัก
    • Update Features (Update-Theme) → ข้อมูลใหม่ที่ต้องแทนที่
    • Output Feature Class → ชั้นข้อมูลใหม่ที่ได้จากการแทนที่

ตัวอย่าง ArcPy:

pythonCopyEditarcpy.analysis.Update("landuse_2020.shp", "new_development_area.shp", "landuse_updated_2024.shp")

📐 ข้อกำหนดข้อมูล

ประเภท Geometryรองรับโดย Update
Polygon
Point / Line❌ (ไม่รองรับ)

📊 ตัวอย่างการประยุกต์ใช้

วัตถุประสงค์In-ThemeUpdate-Themeผลลัพธ์
ปรับปรุงแผนที่ใช้ที่ดินในปีปัจจุบันLanduse_2020New_Development_2024Landuse_Updated
แทนที่แผนที่พื้นที่ก่อสร้างใหม่Urban_ZoneConstruction_2024เขตเมืองที่มีการก่อสร้างเพิ่ม
ปรับข้อมูลพื้นที่ป่าหลังการฟื้นฟูForest_OldReforestation_Zoneแผนที่ป่าไม้ฉบับปรับปรุงล่าสุด

🔍 ความแตกต่างระหว่าง Update vs. Union vs. Identity

คุณสมบัติUpdateUnionIdentity
เน้นการแทนที่ข้อมูล
เก็บ Attribute ของทั้งสอง Theme
Output GeometryGeometry ใหม่จากการแทนที่รวมทั้งหมดยึดตาม In-Theme
Input Geometry ที่รองรับPolygon เท่านั้นPolygon เท่านั้นIn = Point/Line/Polygon / Identity = Polygon

⚠️ ข้อควรระวัง

ประเด็นคำแนะนำ
CRSทั้ง In-Theme และ Update-Theme ต้องมีระบบพิกัดเดียวกัน
Geometryใช้ได้เฉพาะ Polygon
Attributeควรตรวจสอบ Field Name ซ้ำกันเพื่อป้องกันข้อผิดพลาด
TopologyUpdate-Theme ควรมีขอบเขตแม่นยำ และไม่ซ้อนกันเอง

✨ สรุป

หัวข้อรายละเอียด
ชื่อเครื่องมือUpdate
จุดประสงค์แทนที่เฉพาะพื้นที่ใน In-Theme ด้วยข้อมูลที่ถูกต้องใหม่
ประเภทข้อมูลPolygon เท่านั้น
Outputชั้นข้อมูลใหม่ที่รวมขอบเขตใหม่ + ข้อมูลคุณลักษณะทั้งหมด
เหมาะกับงานปรับปรุงแผนที่, แผนที่ใช้ที่ดิน, การพัฒนาเมือง, ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ

ใส่ความเห็น

Related Posts