16, เม.ย. 2010
บทที่ 5 : 5.2.3 นิยามแฟ้มข้อมูล

แฟ้มข้อมูล (File) และแนวคิดการเปลี่ยนผ่านจากระบบแฟ้มข้อมูลแบบแยกส่วนไปสู่ ระบบฐานข้อมูล (Database System) โดยเน้นการจัดโครงสร้างชัดเจน พร้อมนิยาม ข้อเปรียบเทียบ และผลกระทบของการจัดเก็บข้อมูลแบบเดิม:


🗂️ แฟ้มข้อมูล (File) และปัญหาของระบบการจัดเก็บแบบแยกส่วน

นิยามแฟ้มข้อมูล (File Definition)

แฟ้มข้อมูล (File) คือหน่วยของการจัดเก็บข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้รวบรวมข้อมูลประเภทเดียวกันไว้ในที่เดียว เพื่อให้สามารถ เรียกค้น (Retrieval) และ ใช้งาน (Processing) ได้ตามวัตถุประสงค์ของหน่วยงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยแฟ้มข้อมูลจะมีชื่อเฉพาะและนามสกุลที่แสดงถึงประเภทของข้อมูล เช่น .txt, .csv, .shp, .dbf


การจัดเก็บข้อมูลในลักษณะแยกส่วน (File-Based Data Management)

ในอดีต หน่วยงานต่าง ๆ มักจัดเก็บข้อมูลในลักษณะ กระจายตามหน้าที่ของแต่ละแผนก ตัวอย่างเช่น:

  • ฝ่ายบุคคล จะมีแฟ้มข้อมูลเกี่ยวกับบุคลากร เช่น รายชื่อ เงินเดือน วันลา
  • ฝ่ายวิชาการ จะจัดเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย รายวิชา และบทความวิชาการ
  • ฝ่ายพัสดุ จะมีแฟ้มข้อมูลทรัพย์สินและครุภัณฑ์

แต่ละฝ่ายจะมี โปรแกรมของตนเองในการจัดการและเรียกใช้แฟ้มข้อมูล เหล่านี้ ซึ่งมักพัฒนาแยกจากกัน ส่งผลให้ ไม่สามารถเชื่อมโยงหรือใช้งานร่วมกันได้ อย่างมีประสิทธิภาพ

รูปที่ 5.2 ระบบการประมวลผลแฟ้มข้อมูล


ผลกระทบของการจัดเก็บข้อมูลแบบแยกส่วน

  1. ความซ้ำซ้อนของข้อมูล (Data Redundancy)
    ข้อมูลประเภทเดียวกัน เช่น ทะเบียนบุคลากร จะถูกจัดเก็บซ้ำในหลายหน่วยงาน เช่น ฝ่ายบุคคล, ฝ่ายวิชาการ, และฝ่ายงบประมาณ ซึ่งใช้รูปแบบต่างกัน
  2. ความไม่สอดคล้องของข้อมูล (Data Inconsistency)
    เมื่อมีการปรับปรุงข้อมูลในบางแผนก แต่อีกแผนกไม่ได้รับการอัปเดต ข้อมูลจึงอาจขัดแย้งกัน เช่น หมายเลขโทรศัพท์ หรือสถานะของบุคลากร
  3. สิ้นเปลืองพื้นที่จัดเก็บ (Storage Inefficiency)
    การเก็บข้อมูลซ้ำกันหลายแฟ้มในหลายแผนกก่อให้เกิดการใช้พื้นที่จัดเก็บโดยไม่จำเป็น
  4. ยากต่อการปรับปรุงหรือบำรุงรักษา (Maintenance Difficulty)
    เมื่อจำเป็นต้องแก้ไขหรือปรับปรุงข้อมูล ระบบแบบแยกแฟ้มจะต้องดำเนินการในแต่ละแฟ้ม ซึ่งมีโอกาสผิดพลาดสูง และใช้เวลามาก

📈 แนวทางแก้ไข: การรวมศูนย์ข้อมูลสู่ระบบฐานข้อมูล (Database Approach)

เพื่อแก้ไขข้อจำกัดข้างต้น จึงเกิดแนวคิดในการ รวมข้อมูลจากแฟ้มของแต่ละหน่วยงานไว้ในระบบศูนย์กลาง ซึ่งสามารถบริหารจัดการข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ภายใต้สิ่งที่เรียกว่า “ระบบฐานข้อมูล (Database System)” โดยมีข้อดีดังนี้:

  • ลดความซ้ำซ้อน (Minimize Redundancy)
  • เพิ่มความสอดคล้องของข้อมูล (Data Consistency)
  • สนับสนุนการใช้งานร่วมกัน (Data Sharing)
  • ลดภาระการดูแลระบบหลายชุด
  • ส่งเสริมการวิเคราะห์ข้อมูลแบบบูรณาการ (Integrated Analysis)

บทสรุป

แฟ้มข้อมูล (File) แม้เป็นพื้นฐานสำคัญของการจัดเก็บข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ แต่เมื่อนำมาใช้ในลักษณะ “แยกส่วนตามแผนก” จะเกิดข้อจำกัดด้าน ความซ้ำซ้อน ความไม่สอดคล้อง และการใช้งานที่ไม่เป็นระบบ
การเปลี่ยนผ่านไปสู่ ระบบฐานข้อมูลแบบรวมศูนย์ (Centralized Database System) เป็นทางเลือกที่สำคัญต่อ การพัฒนาระบบสารสนเทศสมัยใหม่ โดยเฉพาะในบริบทของการวางแผนและบริหารจัดการองค์กรเชิงพื้นที่

🖥️ ข้อดีของการประมวลผลข้อมูลในลักษณะแบบแยกส่วน (Decentralized File-Based Processing)

ในระบบการจัดการข้อมูลแบบดั้งเดิม ซึ่งยังไม่ได้นำฐานข้อมูลแบบรวมศูนย์ (Centralized Database System) มาใช้ หน่วยงานหรือแผนกย่อยมักจะ ประมวลผลข้อมูลจากแฟ้มข้อมูลของตนเอง (Local File Processing) บนเครื่องคอมพิวเตอร์ภายในหน่วยงานนั้น โดยอาศัยโปรแกรมประยุกต์เฉพาะ (Standalone Applications) เพื่อเรียกใช้และประมวลผลข้อมูลโดยตรง

แนวทางนี้แม้จะมีข้อจำกัดด้านการบูรณาการและการควบคุมความสอดคล้องของข้อมูล แต่ก็มี ข้อดีที่ยังเป็นที่ยอมรับในบางบริบท โดยเฉพาะกับองค์กรขนาดเล็กหรือระบบที่ไม่ต้องเชื่อมโยงข้ามหน่วยงาน


ข้อดีที่สำคัญของการประมวลผลแบบแยกส่วนในระดับหน่วยงาน


1. การประมวลผลข้อมูลทำได้รวดเร็ว (Fast Local Processing)

การจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลภายในเครื่องของผู้ใช้หรือเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบโดยตรง ทำให้:

  • ไม่จำเป็นต้อง เรียกข้อมูลจากฐานข้อมูลส่วนกลางผ่านเครือข่าย ซึ่งอาจมีความล่าช้า
  • ลดเวลารอคอยในการเข้าถึงข้อมูล โดยเฉพาะในกรณีที่ระบบเครือข่ายมีข้อจำกัด
  • ส่งผลให้สามารถ ตัดสินใจหรือปรับปรุงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ในระดับปฏิบัติการ

เหมาะกับงานเฉพาะด้าน เช่น การรวบรวมข้อมูลชั่วคราว หรือประมวลผลข้อมูลเบื้องต้น


2. ค่าลงทุนต่ำ และไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง (Low Investment in Hardware)

  • เนื่องจากการประมวลผลกระทำที่ระดับเครื่องผู้ใช้ (Client-based Processing) จึง ไม่ต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์ส่วนกลางหรือระบบฐานข้อมูลแบบครบวงจร
  • อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทั่วไปในปัจจุบัน มีประสิทธิภาพสูงในราคาที่ประหยัด
  • เหมาะกับองค์กรที่มีงบประมาณจำกัด หรือระบบงานขนาดเล็กที่ไม่ซับซ้อน

ในบางกรณี การใช้เครื่อง PC ธรรมดาก็สามารถจัดการข้อมูลแฟ้มพื้นฐานได้อย่างเพียงพอ


3. ความยืดหยุ่นในการใช้งานโปรแกรมประยุกต์เฉพาะด้าน (Flexible Standalone Applications)

  • โปรแกรมแต่ละชุดที่พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะในแต่ละแผนกสามารถ ควบคุมการเข้าถึงและประมวลผลข้อมูลเฉพาะตนได้อย่างอิสระ
  • ลดภาระจากการพึ่งพาระบบโปรแกรมจากส่วนกลาง ซึ่งอาจไม่ตรงกับความต้องการเฉพาะด้าน
  • ส่งผลให้กระบวนการทำงานเกิดความ คล่องตัว (Operational Agility) และตอบสนองต่อหน้างานได้อย่างรวดเร็ว

ตัวอย่างเช่น โปรแกรมสำหรับวิเคราะห์ผลการเรียนของนักเรียนในระดับโรงเรียนอาจไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อฐานข้อมูลระดับกระทรวง

ข้อจำกัดของระบบประมวลผลแบบแฟ้มข้อมูล (File-Based Processing Limitations) พร้อมการอธิบายแต่ละข้ออย่างเป็นระบบ โดยเน้นประเด็นที่สะท้อนถึงความจำเป็นในการพัฒนาสู่ระบบฐานข้อมูลแบบรวมศูนย์ (Centralized Database System):


ข้อจำกัดของระบบการประมวลผลแบบแฟ้มข้อมูล (Limitations of File-Based Data Processing Systems)

แม้ว่าระบบการจัดการข้อมูลแบบใช้แฟ้มข้อมูล (File-Based System) จะมีข้อดีในด้านต้นทุนต่ำ ความเรียบง่าย และความรวดเร็วในการเข้าถึงข้อมูลเฉพาะหน่วยงาน แต่ในทางปฏิบัติระบบดังกล่าวมีข้อจำกัดสำคัญหลายประการที่ส่งผลต่อ ประสิทธิภาพ (Efficiency) และ ความน่าเชื่อถือของข้อมูล (Data Reliability) ในภาพรวมขององค์กร


1. ความซ้ำซ้อนของข้อมูล (Data Redundancy)

การจัดเก็บข้อมูลแบบแยกส่วนทำให้ ข้อมูลประเภทเดียวกันถูกเก็บซ้ำในหลายแฟ้ม ซึ่งส่งผลให้:

  • เปลืองพื้นที่จัดเก็บในอุปกรณ์สำรองข้อมูล (Storage Waste)
  • เกิดการ ลงทุนซ้ำซ้อน (Duplicated Effort) ทั้งในด้านงบประมาณและกำลังคน
  • ผู้ดูแลแต่ละระบบไม่สามารถทราบว่า “ข้อมูลชุดเดียวกัน” ได้รับการเก็บไว้แล้วที่ใด

ตัวอย่าง: ข้อมูล “อาคารเรียน” อาจถูกเก็บไว้ทั้งในระบบงานบุคลากร วิชาการ และงานโครงสร้างพื้นฐาน โดยไม่มีการเชื่อมโยงกัน


2. ความไม่สอดคล้องของข้อมูล (Data Inconsistency)

เมื่อข้อมูลถูกจัดเก็บแยกกันในหลายระบบ โดยไม่มีมาตรฐานกลางในการควบคุม จึงนำไปสู่ความไม่สอดคล้อง เช่น:

  • ชื่อสถานที่/อาคารที่ไม่ตรงกัน
  • รหัสข้อมูลที่ไม่เป็นมาตรฐาน (เช่น B01 กับ Building_1)
  • การปรับปรุงข้อมูลไม่สามารถส่งผลต่อระบบอื่น ๆ ได้อย่างอัตโนมัติ

ส่งผลต่อ ความน่าเชื่อถือของข้อมูล (Data Integrity) และความลำบากในการรวมข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์


3. ความยุ่งยากในการเชื่อมโยงข้อมูลข้ามแฟ้ม (Difficulties in Multi-File Integration)

การสร้างรายงานหรือการวิเคราะห์ที่ต้องดึงข้อมูลจากหลายแฟ้ม เช่น:

  • ข้อมูลแผนที่อาคาร → จากแฟ้ม building.shp
  • ข้อมูลการใช้ที่ดิน → จากแฟ้ม landuse.csv
  • ข้อมูลห้องเรียน → จากแฟ้ม rooms.dbf

จะต้องใช้ โปรแกรมประยุกต์เฉพาะ (Custom Applications) เพื่อเขียนคำสั่งเชื่อมโยง ทำให้:

  • เพิ่มภาระในการพัฒนาโปรแกรม
  • ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการควบคุมโครงสร้างของแต่ละแฟ้ม

ขัดต่อหลักของ “การวิเคราะห์เชิงบูรณาการ (Integrated Analysis)” ที่จำเป็นในระบบสารสนเทศยุคใหม่


4. ไม่มีผู้ดูแลระบบรวม (Lack of Centralized Administration)

ระบบแฟ้มข้อมูลไม่มีหน่วยงานกลางในการดูแลหรือควบคุมมาตรฐาน ทำให้:

  • ผู้ใช้งานแต่ละคนดูแลระบบของตนเองโดยไม่มีการสื่อสารร่วมกัน
  • ไม่มีการควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูล (Access Control)
  • การใช้ทรัพยากรร่วม เช่น เครื่องพิมพ์ เซิร์ฟเวอร์ หรือฐานข้อมูลกลาง ไม่สามารถทำได้

ส่งผลให้ ความปลอดภัย และความต่อเนื่องของระบบ (System Continuity) ต่ำ


5. ความขึ้นต่อกันระหว่างโปรแกรมและโครงสร้างข้อมูล (Program-Data Dependency)

ในระบบแฟ้มข้อมูล โครงสร้างของแฟ้มถูกผูกติดกับโปรแกรมประยุกต์ที่ใช้ เช่น:

  • ถ้าเขียนโปรแกรมด้วย Microsoft Access แล้วมีการตั้งชื่อฟิลด์เป็น ID, Name, Room
  • หากอีกระบบใช้ชื่อ PersonID, FullName, Classroom จะไม่สามารถใช้โปรแกรมเดิมร่วมกันได้

เมื่อมีความจำเป็นต้องรวมระบบเข้าด้วยกัน:

  • จะต้อง เขียนระบบใหม่ทั้งหมด (Re-engineering)
  • เกิดค่าใช้จ่ายสูงและสูญเสียเวลาในการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง

ส่งผลให้การพัฒนาเข้าสู่ระบบฐานข้อมูล (Database Transition) เกิด อุปสรรคทางเทคนิคและงบประมาณ

ใส่ความเห็น

Related Posts