16, เม.ย. 2010
บทที่ 4 : 4.2 การนำเข้าข้อมูลในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์

บทที่ ๔ โครงสร้างและการนำเข้าข้อมูลในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์

(GIS Structure and Data Input)

๔.๒ การนำเข้าข้อมูลในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์

การนำเข้าข้อมูล (Data Input) ในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ หมายถึง กระบวนการ กำหนดรหัสให้กับข้อมูลเชิงพื้นที่และข้อมูลเชิงคุณลักษณะ แล้วนำข้อมูลเหล่านั้นเข้าสู่ ฐานข้อมูลกลางของระบบ GIS การจัดการข้อมูลให้มีความถูกต้องปราศจากข้อผิดพลาด (Errors) ถือเป็นหนึ่งในขั้นตอนที่ซับซ้อนและต้องอาศัยความละเอียดรอบคอบสูงสุด

โดยทั่วไป การนำเข้าข้อมูลสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ขั้นตอนหลัก ได้แก่
(1) การนำเข้าข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial Data Input)
(2) การนำเข้าข้อมูลเชิงคุณลักษณะ (Attribute Data Input)
(3) การเชื่อมโยงข้อมูลเชิงพื้นที่กับข้อมูลเชิงคุณลักษณะ (Data Integration)

ในแต่ละขั้นตอนจำเป็นต้องมีการ ตรวจสอบคุณภาพข้อมูล (Data Validation) อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าฐานข้อมูลที่สร้างขึ้นมีความแม่นยำสูงและมีข้อผิดพลาดน้อยที่สุด


๔.๒.๑ การนำเข้าข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial Data Input)

การนำเข้าข้อมูลเชิงพื้นที่สามารถดำเนินการได้หลายวิธี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ ชนิดของข้อมูลต้นฉบับ, ความพร้อมของอุปกรณ์, งบประมาณของหน่วยงาน, และ รูปแบบการใช้งาน ตัวอย่างของแหล่งข้อมูลที่สามารถนำมาใช้ได้ เช่น แผนที่กระดาษ, เอกสารสำรวจภาคสนาม, ภาพถ่ายทางอากาศ, และ ภาพจากดาวเทียม รวมถึงข้อมูลที่ได้จากกระบวนการ ศึกษาชุมชนอย่างรวดเร็ว (Rural Rapid Appraisal: RRA)

(1) การป้อนข้อมูลเวกเตอร์ด้วยมือ

ในกรณีของการนำเข้าข้อมูลในระบบเวกเตอร์ด้วยวิธีการแบบแมนนวล ผู้ปฏิบัติงานจะใช้ข้อมูลประเภท จุด (Point), เส้น (Line) และ พื้นที่ (Polygon) โดยอ้างอิงพิกัด X และ Y จากกริดที่แสดงอยู่ในแผนที่ต้นฉบับหรือแผ่นกริดที่ซ้อนทับบนแผนที่ ข้อมูลดังกล่าวสามารถพิมพ์เข้าในรูปของแฟ้มข้อความธรรมดา (Text File) หรืออาจป้อนเข้าสู่โปรแกรม GIS โดยตรง

(2) การป้อนข้อมูลกริดด้วยมือ

ในกรณีของข้อมูลแบบกริด (Raster-Based Input) การแสดงผลของจุด เส้น และพื้นที่จะถูกแทนด้วยช่องตารางที่เรียกว่า กริด (Grid) หรือ พิกเซล (Pixel) โดยมีขั้นตอนสำคัญ ได้แก่

  • การเลือกขนาดช่องกริดตามระดับความละเอียดที่ต้องการ
  • การซ้อนแผ่นกริดใสลงบนแผนที่
  • การกรอกค่าคุณลักษณะของวัตถุลงในแต่ละช่องกริด
  • การป้อนข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ในรูปของแฟ้มข้อความ

วิธีนี้เหมาะสำหรับข้อมูลที่สามารถ แสดงคุณลักษณะของพื้นที่แบบต่อเนื่องหรือแบ่งเขตชัดเจน เช่น ข้อมูลการใช้ประโยชน์ที่ดินหรือความสูงจากระดับน้ำทะเล

(3) การนำเข้าด้วยเครื่องดิจิไทซ์ (Digitizing Device Input)

เนื่องจากการเขียนรหัสและป้อนข้อมูลด้วยมืออาจใช้เวลาและทรัพยากรสูง การใช้เครื่องมืออ่านพิกัดอัตโนมัติจึงเป็นอีกทางเลือกที่ช่วยเพิ่มความเร็วและความแม่นยำ โดยเครื่องที่นิยมใช้คือ เครื่องดิจิไทเซอร์ (Digitizer) ซึ่งมีหลายขนาด เช่น 11×11 นิ้ว หรือ 40×60 นิ้ว และมีทั้งแบบวางบนโต๊ะหรือแบบมีขาตั้ง โดยใช้ ระบบสายลวด หรือ คลื่นไฟฟ้า ในการจับตำแหน่ง

ผู้ใช้สามารถใช้ อุปกรณ์เมาส์ (Mouse) หรือ พัค (Puck) ซึ่งมีความละเอียดสูงและฝังขดลวดแม่เหล็กภายใน เพื่อเลื่อนและกดบันทึกจุดพิกัดบนกระดานดิจิไทซ์ เมื่อวางเส้นกากบาทของอุปกรณ์เหนือจุดที่ต้องการแล้วกดปุ่ม ข้อมูลพิกัดจะถูกส่งเข้าสู่คอมพิวเตอร์โดยอัตโนมัติผ่านทางคำสั่งเมนูกราฟิกในโปรแกรม GIS


🧭 บทสรุป

การนำเข้าข้อมูลเชิงพื้นที่ในระบบ GIS เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยทั้ง ความเข้าใจในแหล่งข้อมูลต้นฉบับ, ความชำนาญด้านเครื่องมือ, และ การตรวจสอบคุณภาพข้อมูลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ฐานข้อมูลที่ได้มีความแม่นยำ และพร้อมใช้งานในการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ต่อไป

การเลือกวิธีนำเข้าที่เหมาะสมควรพิจารณาตาม ประเภทของข้อมูล (เวกเตอร์หรือราสเตอร์), ระดับความละเอียดที่ต้องการ, และ ทรัพยากรที่มีอยู่ในองค์กร ทั้งนี้ การจัดการกระบวนการอย่างมีระบบจะช่วยลดข้อผิดพลาด เพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผล และส่งเสริมความน่าเชื่อถือของฐานข้อมูลภูมิสารสนเทศในระยะยาว

ตารางเปรียบเทียบเชิงวิชาการ ระหว่างการนำเข้าข้อมูลในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) ด้วย วิธี Manual Digitizing (การป้อนข้อมูลด้วยมือ) และ Digitizer-Based Input (การใช้เครื่องดิจิไทซ์แบบกราฟิก) เพื่อแสดงให้เห็นถึงข้อแตกต่างด้านขั้นตอน ความแม่นยำ ประสิทธิภาพ และความเหมาะสมของแต่ละวิธี โดยใช้การจัดรูปแบบที่เหมาะสมกับการใช้งานในเชิงวิชาการและการเรียนการสอน:


📊 ตารางเปรียบเทียบวิธีการนำเข้าข้อมูลใน GIS: Manual vs. Digitizer

หัวข้อเปรียบเทียบManual Digitizing (การป้อนข้อมูลด้วยมือ)Digitizer-Based Input (การใช้เครื่องอ่านพิกัด)
รูปแบบการทำงานป้อนค่าพิกัด X, Y ด้วยการคำนวณหรือกรอกค่าด้วยมือผ่านการสังเกตแผนที่กระดาษหรือแผ่นกริดใช้อุปกรณ์เช่น Digitizer, Puck, หรือ Mouse ดิจิไทซ์โดยตรงจากแผนที่ต้นฉบับบนกระดานอิเล็กทรอนิกส์
ประเภทข้อมูลจุด เส้น พื้นที่ ทั้งแบบเวกเตอร์และราสเตอร์ (แสดงผ่านข้อความหรือการกรอกตารางกริด)จุด เส้น พื้นที่ แบบเวกเตอร์เป็นหลัก (Vector Feature)
อุปกรณ์ที่ใช้แผนที่กระดาษ + กระดาษกริด + ปากกา + คอมพิวเตอร์/เครื่องพิมพ์เครื่อง Digitizer (แบบตาราง) + คอมพิวเตอร์ + ซอฟต์แวร์ GIS (เช่น ArcGIS, QGIS)
ความแม่นยำของตำแหน่งต่ำถึงปานกลาง ขึ้นกับผู้ป้อนข้อมูลและความชัดเจนของแผนที่สูงมาก (ขึ้นกับความละเอียดของเครื่องและความเสถียรของระบบพิกัด)
ความเร็วในการป้อนข้อมูลช้า ใช้เวลานาน และอาจต้องอาศัยการตรวจสอบหลายรอบเร็วกว่าอย่างชัดเจน โดยเฉพาะสำหรับพื้นที่ขนาดใหญ่หรือข้อมูลที่มีความซับซ้อน
ข้อผิดพลาดที่พบได้บ่อยพิกัดคลาดเคลื่อน, กรอกผิดช่อง, ค่าหาย, เส้นไม่เชื่อมต่อข้อผิดพลาดจากการลากมือไม่แม่น หรือเครื่องอ่านไม่ตรงจุด แต่สามารถควบคุมได้ด้วย Snap/Tolerance
ต้นทุนการดำเนินการต่ำ เหมาะกับหน่วยงานที่มีงบประมาณจำกัดปานกลางถึงสูง (ขึ้นกับคุณภาพของเครื่องและขนาดกระดาน)
เหมาะสมกับลักษณะงานใดงานขนาดเล็ก แผนที่เก่า พื้นที่ไม่ซับซ้อน หรือเมื่อยังไม่สามารถจัดซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้งานที่ต้องการความแม่นยำสูง งานสำรวจพื้นที่ งานสมัยใหม่ที่ต้องการฐานข้อมูลมาตรฐานสำหรับการวิเคราะห์ GIS
การประยุกต์ในเชิงวิชาการเหมาะสำหรับการสอนพื้นฐานด้าน GIS และฝึกให้นักศึกษารู้จักโครงสร้างข้อมูลและแนวคิดการดิจิไทซ์เหมาะสำหรับการฝึกใช้เครื่องมือจริงในงานวิจัยหรือการพัฒนาแผนที่ระดับมืออาชีพ

📌 บทสรุปเชิงเปรียบเทียบ

ประเด็นสำคัญManual DigitizingDigitizer-Based Input
ความถูกต้อง (Accuracy)ปานกลางสูง
ความเร็ว (Efficiency)ต่ำสูง
ความซับซ้อนของข้อมูล (Complexity)ต่ำ–ปานกลางปานกลาง–สูง
ความคุ้มค่าในระยะยาวต่ำ (เหมาะกับงบประมาณจำกัด)สูง (คุ้มค่าสำหรับงานระยะยาว)

🧭 คำแนะนำสำหรับผู้ใช้งาน

การเลือกวิธีการนำเข้าข้อมูลควรพิจารณาจาก ประเภทข้อมูล, วัตถุประสงค์ของการใช้งาน, และ ทรัพยากรของหน่วยงาน หากต้องการความแม่นยำในระดับสูงและมีข้อมูลจำนวนมาก การใช้ Digitizer จะให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าในระยะยาว ในขณะที่วิธี Manual ยังคงเหมาะสมกับงานภาคสนามเบื้องต้น หรือในกรณีที่ต้องการดิจิไทซ์แผนที่เก่าโดยใช้อุปกรณ์พื้นฐาน

📄 ตัวอย่างการป้อนข้อมูลเชิงพื้นที่แบบแมนนวล (Manual Spatial Data Entry)

▶️ บริบทของการใช้งาน

สมมุติว่ามีแผนที่กระดาษมาตราส่วน 1:25,000 ซึ่งแสดงตำแหน่งของ สถานีตรวจวัดอากาศ 3 แห่ง พร้อมกับถนนสายหลักที่เชื่อมต่อกัน ต้องการนำข้อมูลเข้าสู่ระบบ GIS โดยใช้วิธีการ ป้อนค่าพิกัดด้วยมือ (Manual Coordinate Entry) โดยอ้างอิงจากกริดภูมิศาสตร์ที่แสดงบนแผนที่เดิม


ตัวอย่างการป้อนข้อมูล “จุด” (Point Feature: Weather Stations)

Station_IDStation_NameX_CoordinateY_CoordinateElevation (m)District
ST001Mae Ping Station5834001945200450Muang Lampang
ST002Ban Sa Station5891001948750327Ko Kha
ST003Mae Mo Station5923001942700502Mae Mo

✳️ พิกัดที่ป้อนถูกคำนวณจากกริด UTM ที่ปรากฏในแผนที่ โดยใช้ไม้บรรทัดและเครื่องคิดเลขเพื่อคำนวณระยะจากแนวกริดหลัก


ตัวอย่างการป้อนข้อมูล “เส้น” (Line Feature: Main Road)

การป้อนข้อมูลเส้นทำได้โดยการระบุ ลำดับของจุดพิกัด (Vertex) ที่ประกอบกันเป็นเส้น เช่น ถนนสายหลักจากจุด A ไปยังจุด C โดยมีจุดผ่านกลาง B

Road_IDPoint_OrderX_CoordinateY_Coordinate
R00115821001944700
R00125839001945800
R00135857001946800

✳️ เส้นจะถูกสร้างขึ้นจากการเชื่อมโยงพิกัดแต่ละชุดเรียงลำดับตาม Point_Order


ตัวอย่างการป้อนข้อมูล “พื้นที่” (Polygon Feature: Protected Forest Area)

พื้นที่สามารถป้อนโดยระบุพิกัดของจุดยอด (Vertex) ที่ล้อมรอบพื้นที่ แล้วปิดเส้นรอบวง

Area_IDVertex_NoX_CoordinateY_Coordinate
PF00115800001944000
PF00125825001944000
PF00135825001946500
PF00145800001946500
PF0015 (=1)5800001944000

✳️ จุดเริ่มต้นและจุดสุดท้ายของโพลีกอนต้องตรงกัน เพื่อให้พื้นที่ปิดสมบูรณ์


📌 สรุปแนวทางการป้อนข้อมูลแบบ Manual

ขั้นตอนคำอธิบาย
1. ระบุระบบพิกัดที่ใช้เช่น UTM Zone 47N, Datum: WGS84
2. อ่านค่าพิกัดจากแผนที่ใช้กริดในแผนที่ประกอบกับไม้บรรทัด/มาตราส่วน
3. ป้อนข้อมูลลงในตารางด้วย Excel, CSV หรือ Text file
4. แปลงข้อมูลเข้าสู่โปรแกรม GISผ่านฟังก์ชัน Add XY Data หรือ Create Feature from Table ใน QGIS/ArcGIS
5. ตรวจสอบความถูกต้องของตำแหน่งเปรียบเทียบกับข้อมูลภาพถ่ายหรือแผนที่อื่น ๆ

📄 ตัวอย่างการป้อนข้อมูลเชิงพื้นที่ด้วย Digitizer

▶️ บริบทของการใช้งาน

สมมุติว่าหน่วยงานมีแผนที่กระดาษมาตราส่วน 1:50,000 แสดง เขตการใช้ที่ดิน (Land Use) ซึ่งต้องการนำเข้าข้อมูลขอบเขตพื้นที่ต่าง ๆ เช่น พื้นที่เกษตรกรรม ป่าไม้ และเขตชุมชน ด้วยวิธี Digitizing บนกระดานดิจิไทซ์ โดยใช้ เครื่อง Digitizer ขนาด 36″x48″ และ ซอฟต์แวร์ ArcGIS/QGIS


ขั้นตอนหลักของการป้อนข้อมูลแบบ Digitizer

1. การตั้งค่าเครื่องและระบบพิกัด

  • วางแผนที่ต้นฉบับลงบนกระดาน Digitizer
  • เปิดโปรแกรม GIS แล้วระบุ ระบบพิกัดภูมิศาสตร์ (เช่น WGS 84, UTM Zone 47N)
  • ใช้ Ground Control Points (GCPs) จากกรอบพิกัดบนแผนที่ เช่น จุดตัดของเส้นกริด เพื่อทำการ Georeferencing

2. การใช้ Puck หรือ Mouse เพื่อกำหนดจุดพิกัด

เมื่อระบบพิกัดพร้อมใช้งาน ให้ใช้ Puck (อุปกรณ์ที่มีปุ่มคำสั่งหลายปุ่ม) ในการลากและคลิกตามจุดที่ต้องการ โดยจะมีการบันทึกค่า X,Y Coordinate ของจุดนั้นลงในระบบอัตโนมัติ

การใช้เครื่องอ่านพิกัด (Digitizer) เป็นกระบวนการแปลงข้อมูลจากแผนที่กระดาษเข้าสู่ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) โดยมีขั้นตอนหลักดังนี้

  1. การเตรียมแผนที่และการตรึงแผนที่บนโต๊ะดิจิไทซ์
    เริ่มต้นด้วยการนำแผนที่ต้นฉบับมาตรึงบนโต๊ะดิจิไทซ์อย่างมั่นคง เพื่อป้องกันการเคลื่อนที่ระหว่างการดิจิไทซ์
  2. การกำหนดจุดอ้างอิง (Control Points)
    เลือกและกำหนดจุดอ้างอิงบนแผนที่อย่างน้อย 4 จุด เพื่อใช้เป็นฐานในการอ้างอิงพิกัดและช่วยให้การแปลงข้อมูลมีความแม่นยำ
  3. การใช้ตัวชี้ตำแหน่ง (Cursor) หรือตัวชี้แบบแม่เหล็ก (Puck)
    ใช้ตัวชี้ตำแหน่งลากตามเส้นหรือจุดรายละเอียดบนแผนที่ โดยเครื่องจะอ่านค่าพิกัด (X, Y) ของตำแหน่งที่ถูกชี้และส่งข้อมูลไปยังคอมพิวเตอร์
  4. การบันทึกข้อมูลพิกัดเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์
    ค่าพิกัดที่ได้จะถูกบันทึกเป็นข้อมูลเชิงตัวเลขในรูปแบบเวกเตอร์ เช่น จุด เส้น หรือพื้นที่ เพื่อใช้ในการวิเคราะห์และประมวลผลต่อไป
  5. การตรวจสอบและแก้ไขข้อมูล
    หลังจากดิจิไทซ์เสร็จสิ้น จำเป็นต้องตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล เช่น การเชื่อมต่อเส้น การปิดพื้นที่โพลีกอน และแก้ไขข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น

การกำหนดจุดอ้างอิง (Control Point) ในเครื่องอ่านพิกัด (Digitizer) มีขั้นตอนดังนี้

การกำหนดจุดอ้างอิง หรือ Control Point เป็นขั้นตอนสำคัญในการนำเข้าข้อมูลเชิงพื้นที่ด้วยเครื่องอ่านพิกัด (Digitizer) เพื่อให้ข้อมูลที่ได้มีความถูกต้องและสัมพันธ์กับระบบพิกัดภูมิศาสตร์จริงอย่างแม่นยำ โดยทั่วไปจะต้องกำหนดจุดอ้างอิงอย่างน้อย 4 จุดบนแผนที่ต้นฉบับ ซึ่งมีรายละเอียดขั้นตอนดังนี้

  1. เลือกตำแหน่งจุดอ้างอิงที่เหมาะสมและชัดเจนบนแผนที่
    จุดอ้างอิงควรเป็นตำแหน่งที่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนและแม่นยำ เช่น จุดตัดถนน ทางแยก หรือจุดเด่นทางภูมิประเทศที่ปรากฏชัดเจนบนแผนที่และในพื้นที่จริง
  2. กำหนดค่าพิกัดของจุดอ้างอิงในระบบพิกัดภูมิศาสตร์ที่ใช้
    ค่าพิกัดของจุดอ้างอิงต้องเป็นค่าที่ถูกต้องและเชื่อถือได้ โดยอาจได้มาจากโครงข่ายพิกัดมาตรฐาน เช่น ระบบพิกัด UTM หรือ WGS84 ซึ่งจะใช้เป็นฐานอ้างอิงในการแปลงข้อมูล
  3. ตรึงแผนที่บนโต๊ะดิจิไทซ์และกำหนดจุดอ้างอิงบนเครื่องอ่านพิกัด
    นำแผนที่ต้นฉบับมาตรึงบนโต๊ะดิจิไทซ์อย่างมั่นคง จากนั้นใช้ตัวชี้ตำแหน่ง (Cursor หรือ Puck) เลือกและบันทึกตำแหน่งของจุดอ้างอิงทั้ง 4 จุดบนแผนที่เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์
  4. ตรวจสอบความถูกต้องของจุดอ้างอิงและปรับแก้หากจำเป็น
    หลังจากกำหนดจุดอ้างอิงแล้ว ต้องตรวจสอบความสอดคล้องของค่าพิกัดและตำแหน่งบนแผนที่ หากพบความคลาดเคลื่อนต้องทำการปรับแก้เพื่อให้ข้อมูลมีความแม่นยำสูงสุด
  5. ใช้จุดอ้างอิงเป็นฐานสำหรับการดิจิไทซ์ข้อมูลอื่นๆ
    เมื่อกำหนดจุดอ้างอิงครบถ้วนและถูกต้องแล้ว จะใช้เป็นฐานอ้างอิงสำหรับการลากเส้นและป้อนข้อมูลเชิงพื้นที่อื่นๆ บนแผนที่ เพื่อให้ข้อมูลทั้งหมดสัมพันธ์กับระบบพิกัดจริง

สรุป
การกำหนดจุดอ้างอิง (Control Point) ในเครื่องอ่านพิกัดเป็นขั้นตอนพื้นฐานและสำคัญที่ช่วยให้การแปลงข้อมูลจากแผนที่กระดาษเข้าสู่ระบบ GIS มีความถูกต้องและแม่นยำ โดยต้องเลือกจุดที่ชัดเจน กำหนดค่าพิกัดที่ถูกต้อง และตรวจสอบความสอดคล้องของข้อมูลอย่างรอบคอบ

การเลือกจุดควบคุมที่เหมาะสมมีขั้นตอนอย่างไร

การเลือกจุดควบคุม (Control Points) ที่เหมาะสมเป็นกระบวนการสำคัญในการสำรวจและจัดทำข้อมูลเชิงพื้นที่ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีความแม่นยำและเชื่อถือได้ โดยมีขั้นตอนหลักดังนี้

  1. การสำรวจพื้นที่ (Reconnaissance)
    เริ่มต้นด้วยการลาดตระเวนพื้นที่โครงการเพื่อประเมินสภาพแวดล้อมและความเหมาะสมของตำแหน่งจุดควบคุม เช่น ความสะดวกในการเข้าถึง ความมั่นคงของตำแหน่ง และความชัดเจนของจุดอ้างอิงในพื้นที่จริง
  2. การเลือกตำแหน่งจุดควบคุมที่ชัดเจนและมั่นคง
    จุดควบคุมควรเป็นตำแหน่งที่สามารถระบุได้อย่างชัดเจน เช่น จุดตัดถนน ทางแยก หรือจุดเด่นทางภูมิประเทศที่ไม่เปลี่ยนแปลงง่าย เพื่อให้สามารถใช้เป็นฐานอ้างอิงได้ในระยะยาว
  3. การกำหนดจำนวนและการกระจายตัวของจุดควบคุม
    ควรกำหนดจำนวนจุดควบคุมให้เพียงพอและกระจายตัวอย่างเหมาะสมทั่วพื้นที่โครงการ เพื่อให้ครอบคลุมและลดความคลาดเคลื่อนในการวัดและการแปลงข้อมูล
  4. การกำหนดลำดับความแม่นยำของจุดควบคุม
    แบ่งจุดควบคุมตามลำดับความแม่นยำ เช่น ลำดับที่หนึ่งสำหรับโครงการที่ต้องการความแม่นยำสูง ใช้จุดควบคุมจำนวนมากและมีความละเอียดสูง ลำดับที่สองและสามสำหรับโครงการที่มีความต้องการแม่นยำน้อยลงตามลำดับ
  5. การตรวจสอบและบำรุงรักษาจุดควบคุม
    หลังจากติดตั้งจุดควบคุมแล้ว ต้องมีการตรวจสอบความถูกต้องและความมั่นคงของจุดอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการบำรุงรักษาเพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
  6. การบูรณาการกับระบบพิกัดมาตรฐาน
    จุดควบคุมควรถูกเชื่อมโยงกับระบบพิกัดมาตรฐาน เช่น ระบบพิกัด UTM หรือ WGS84 เพื่อให้ข้อมูลที่ได้สามารถนำไปใช้ร่วมกับข้อมูลอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สรุป
การเลือกจุดควบคุมที่เหมาะสมต้องอาศัยการวางแผนและการสำรวจพื้นที่อย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงความชัดเจนของตำแหน่ง จำนวนและการกระจายตัวของจุด รวมถึงการกำหนดลำดับความแม่นยำและการบำรุงรักษา เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงพื้นที่ที่มีความถูกต้องและเชื่อถือได้สำหรับการใช้งานในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์


ตัวอย่างการเก็บข้อมูล Polygon ด้วย Digitizer

สมมุติว่าต้องการดิจิไทซ์พื้นที่ป่าไม้ (Forest Area) จากแผนที่ต้นฉบับ โดยใช้การคลิกจุดพิกัดรอบขอบเขต ดังนี้:

Polygon_IDVertex No.X_CoordinateY_CoordinateLandUseType
LU00116801201937450Forest
LU00126809801937500Forest
LU00136809001938200Forest
LU00146801501938100Forest
LU0015 (=1)6801201937450Forest

✳️ โปรแกรมจะเชื่อมโยงจุดทั้งหมดให้เป็น Polygon และบันทึกลงในเลเยอร์เวกเตอร์ (Vector Layer) โดยอัตโนมัติ


คุณลักษณะของการป้อนข้อมูลแบบ Digitizer

หัวข้อรายละเอียด
ความแม่นยำสูง (ค่าความคลาดเคลื่อนน้อยกว่าการกรอกมือ) โดยขึ้นอยู่กับความละเอียดของเครื่อง
อุปกรณ์Digitizer Board, Puck (มีปุ่มหลายปุ่ม), ซอฟต์แวร์ GIS
รูปแบบข้อมูลVector: Point, Line, Polygon
ผลลัพธ์ข้อมูล Spatial + Attribute พร้อมใช้งานใน GIS
จุดเด่นเร็วกว่า Manual, ลดข้อผิดพลาด, เหมาะสำหรับข้อมูลปริมาณมากและต้องการความแม่นยำ

📌 การตรวจสอบคุณภาพหลัง Digitizing

  • ตรวจสอบ Topology Rules เช่น Polygon ปิดสมบูรณ์หรือไม่
  • ตรวจสอบ Overlaps, Gaps, Dangles จากการลากเส้น
  • ใช้ Snap Function และ Tolerance เพื่อปรับตำแหน่งอัตโนมัติหากมีพิกัดไม่แนบกัน

🧭 สรุปเชิงวิชาการ

การใช้ เครื่อง Digitizer เพื่อป้อนข้อมูล GIS เป็นวิธีที่เหมาะสมสำหรับองค์กรที่มี ข้อมูลแผนที่กระดาษคุณภาพสูง และต้องการ สร้างฐานข้อมูลเชิงพื้นที่ที่มีความแม่นยำสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้าน การวางแผนที่ดิน, การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ, และ การจัดทำแผนที่โครงสร้างพื้นฐาน

๔.๒.๔ การใช้เครื่องอ่านพิกัดและกระบวนการแปลงข้อมูลในระบบ GIS

เครื่องอ่านพิกัด (Digitizing Tablet) เป็นอุปกรณ์สำคัญที่ใช้ในการนำเข้าข้อมูลเชิงพื้นที่ในรูปของ จุด (Point) เส้น (Line) และ พื้นที่หลายเหลี่ยม (Polygon) โดยการทำงานจะเชื่อมโยงกับโปรแกรมประยุกต์ด้าน GIS ซึ่งรับพิกัดตำแหน่งจากอุปกรณ์อินพุต เช่น เมาส์แบบพัค (Puck) หรือ แม่เหล็กไฟฟ้า และแปลงพิกัดเหล่านี้ให้เป็นข้อมูลดิจิทัลในรูปแบบเวกเตอร์ ก่อนนำเข้าสู่ฐานข้อมูลเชิงพื้นที่

การแปลงข้อมูลเวกเตอร์ให้เป็นข้อมูลแบบกริดหรือราสเตอร์ (Rasterization) เป็นขั้นตอนถัดมาที่กระทำผ่านซอฟต์แวร์ GIS โดยอัตโนมัติหลังการดิจิไทซ์


การแปลงข้อมูลเวกเตอร์สู่ราสเตอร์ (Vector-to-Raster Conversion)

การแปลงข้อมูลจากเวกเตอร์ให้เป็นราสเตอร์เป็นกระบวนการที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในบางบริบท เช่น การวิเคราะห์ความต่อเนื่องเชิงพื้นที่ หรือการประมวลผลด้วยโมเดลภาพถ่ายดาวเทียม อย่างไรก็ตาม การแปลงนี้มีโอกาสเกิด การสูญเสียความแม่นยำ (Positional Error) โดยเฉพาะในกรณีที่เส้นหรือขอบเขตของเวกเตอร์ไม่ตรงกับแนวกริดอย่างพอดี

ความแม่นยำของผลลัพธ์ที่ได้จากการแปลงจะแปรผันตาม ขนาดของช่องกริด (Grid Cell Size) กล่าวคือ ยิ่งขนาดกริดเล็ก ความถูกต้องเชิงตำแหน่งยิ่งสูง แต่ต้องแลกกับการใช้หน่วยความจำที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก

เครื่องอ่านพิกัดที่มีความละเอียดสูง เช่น ความละเอียด 0.001 นิ้ว (≈ 0.0254 มิลลิเมตร) สามารถลดค่าเบี่ยงเบนของพิกัดได้ไม่เกิน ±0.07–0.15 มม. อย่างไรก็ตาม ความแม่นยำดังกล่าวอาจลดลงได้เมื่อผู้ใช้งานเกิดความล้าจากการปฏิบัติงาน จึงควรจำกัดเวลาใช้งานเครื่องอ่านพิกัดไว้ที่ไม่เกิน วันละ 4 ชั่วโมง เพื่อรักษาคุณภาพของข้อมูลที่ได้


ข้อพิจารณาด้านเวลาและทรัพยากรในการดิจิไทซ์

แม้ว่าการดิจิไทซ์จะเป็นเครื่องมือที่จำเป็นในการเปลี่ยนแผนที่จากสื่อกระดาษสู่ข้อมูลดิจิทัล แต่กระบวนการนี้ยังคงใช้เวลาและแรงงานจำนวนมาก เช่น การดิจิไทซ์แผนที่ขนาด 60 × 40 ซม. ในมาตราส่วน 1:50,000 อาจใช้เวลาสูงถึง 20–40 คน–ชั่วโมง โดยมีอัตราความเร็วเฉลี่ยในการป้อนข้อมูลประมาณ 10 เซนติเมตรต่อนาที


รูปแบบทฤษฎีในการแปลงเวกเตอร์เป็นราสเตอร์

การแปลงข้อมูลเวกเตอร์ให้เป็นราสเตอร์สามารถกระทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับเกณฑ์และหลักการที่ใช้จำแนกข้อมูลในแต่ละช่องกริด ดังตัวอย่างจาก Demers (1997) แสดงไว้ใน รูปที่ 5.6–5.7 ซึ่งมีแนวทางหลัก 4 ประเภท ดังนี้:

  1. Presence/Absence Method
    เป็นวิธีพิจารณาว่า องค์ประกอบเวกเตอร์ “อยู่” หรือ “ไม่อยู่” บนกริดใด เช่น หากเส้นแม่น้ำลากผ่านกริดใด ให้กริดนั้นมีรหัสเท่ากับ 1 (มีแม่น้ำ) ส่วนที่ไม่ผ่านมีค่า 0
  2. Centroid-of-Cell Method
    พิจารณาว่าศูนย์กลางของกริด (Centroid) ตกอยู่ในพื้นที่ประเภทใด เช่น หากจุดกึ่งกลางของกริดอยู่ในพื้นที่ “ป่าไม้” ให้กำหนดกริดนั้นเป็นป่าไม้ ไม่คำนึงถึงสัดส่วนพื้นที่ทั้งหมด
  3. Dominant Type Method
    ให้กริดได้รับรหัสตามประเภทของพื้นที่ที่ครอบคลุมกริดนั้นมากที่สุด เช่น หากในกริดหนึ่งมีพื้นที่ป่าไม้ครอบคลุม 70% และทุ่งหญ้า 30% ให้กริดนั้นถูกระบุเป็นป่าไม้
  4. Percent Occurrence Method
    ใช้เมื่อผู้ใช้งานต้องการตั้งเกณฑ์ความสนใจเฉพาะ เช่น หากพื้นที่ “ป่าไม้” ครอบคลุมเกิน 50% ของพื้นที่กริด และผู้ใช้งานกำหนดว่าป่าไม้คือประเภทที่ต้องการวิเคราะห์เป็นหลัก ให้กริดนั้นได้รับรหัสของป่าไม้

การแปลงข้อมูลเวกเตอร์สู่ราสเตอร์ (Vector-to-Raster Conversion)
เป็นกระบวนการสำคัญในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System: GIS) โดยเฉพาะเมื่อมีความจำเป็นต้องประมวลผลข้อมูลในลักษณะของ พื้นที่ต่อเนื่อง หรือเมื่อข้อมูลต้องถูกนำไปวิเคราะห์ในเชิง ภาพ เช่น การประมวลผลจากภาพถ่ายดาวเทียม การสร้างแบบจำลองภูมิประเทศ หรือการวิเคราะห์ความเหมาะสมของพื้นที่ด้วย raster-based analysis


📌 ความหมายและหลักการเบื้องต้น

ข้อมูลเวกเตอร์ (Vector Data) แสดงตำแหน่งของวัตถุบนผิวโลกด้วยรูปแบบเรขาคณิต เช่น จุด (Point), เส้น (Line) และ พื้นที่ (Polygon) โดยอาศัยพิกัด X, Y (และ Z) ในระบบภูมิศาสตร์

ข้อมูลราสเตอร์ (Raster Data) แสดงข้อมูลเป็น ตารางของพิกเซล (Pixel หรือ Cell) ซึ่งแต่ละช่องมีค่าหมายเลขแทนข้อมูลที่สนใจ เช่น ประเภทการใช้ที่ดิน ระดับความสูง ค่าความเขียว NDVI หรือรหัสพื้นที่

การแปลงเวกเตอร์เป็นราสเตอร์ คือ การเปลี่ยนรูปแบบข้อมูลจากเวกเตอร์ (โครงสร้างพิกัด) ให้กลายเป็นราสเตอร์ (โครงสร้างกริด) โดยต้องกำหนดค่าของพิกเซลให้แทนข้อมูลในเวกเตอร์อย่างเหมาะสม


เหตุผลที่ต้องแปลงเวกเตอร์เป็นราสเตอร์

  1. เพื่อให้สามารถ วิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลภาพถ่ายหรือแผนที่ราสเตอร์อื่น ๆ เช่น DEM หรือ NDVI
  2. เพื่อประยุกต์ในกระบวนการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ เช่น Overlay, Suitability Modeling, หรือ การวิเคราะห์น้ำท่วม
  3. เพื่อใช้ใน การจำแนกพื้นที่แบบอัตโนมัติ โดยใช้เทคนิค Machine Learning หรือ Image Classification
  4. เพื่อให้ข้อมูลสามารถใช้ในซอฟต์แวร์ที่รองรับเฉพาะข้อมูลราสเตอร์ เช่น ระบบประมวลผลภาพ (Image Processing Software)

🔄 ขั้นตอนในการแปลงข้อมูลเวกเตอร์สู่ราสเตอร์

1. กำหนดขนาดกริด (Cell Size)

ขนาดกริดที่ใช้ (เช่น 10×10 เมตร หรือ 30×30 เมตร) จะมีผลต่อทั้ง ระดับความละเอียดของผลลัพธ์ และ ความถูกต้องของข้อมูล ยิ่งกริดเล็ก ข้อมูลยิ่งละเอียด แต่ใช้พื้นที่จัดเก็บมากขึ้น

2. ระบุฟิลด์ข้อมูลที่ใช้เป็นค่ารหัส (Attribute Field)

โดยปกติจะต้องเลือก ค่าคุณลักษณะ (Attribute) ที่ต้องการแทนในแต่ละพิกเซล เช่น รหัสการใช้ที่ดิน (LandUse_Code), ความสูง (Elevation), หรือรหัสพื้นที่ป่า (Forest_ID)

3. เลือกวิธีการกำหนดค่าพิกเซล (Cell Assignment Rule)

ซึ่งมีวิธีหลัก 4 รูปแบบตามที่เสนอโดย Demers (1997) ได้แก่:

  • Presence/Absence Method: พิจารณาว่าวัตถุนั้น มีหรือไม่มี อยู่ในกริด (เช่น แม่น้ำตัดผ่านให้ค่าพิกเซล = 1)
  • Centroid-of-Cell Method: ให้ค่าตาม ประเภทของเวกเตอร์ที่ครอบคลุมจุดศูนย์กลางของกริด
  • Dominant Type Method: ให้ค่าตาม ประเภทของพื้นที่ที่ครอบคลุมกริดมากที่สุด
  • Percent Occurrence Method: ให้ค่าตาม เปอร์เซ็นต์ของประเภทข้อมูลที่ครอบคลุมกริด โดยผู้ใช้กำหนดเงื่อนไขเอง

🛠️ ตัวอย่างการแปลงใน ArcGIS และ QGIS

ArcGIS

ใช้เครื่องมือ Polygon to Raster, Polyline to Raster หรือ Point to Raster โดยระบุ:

  • Input Feature: ไฟล์เวกเตอร์
  • Value Field: ฟิลด์ที่ต้องการใช้แทนรหัส
  • Cell Size: ขนาดกริด
  • Assignment Type: เช่น MAXIMUM_AREA หรือ CELL_CENTER

QGIS

ใช้เครื่องมือ Rasterize (Vector to Raster) จากเมนู Raster > Conversion โดยกำหนด:

  • Input Layer
  • Attribute to use for burning
  • Output resolution (cell size)

⚠️ ข้อควรระวังในการแปลง

  • การแปลงจากเวกเตอร์เป็นราสเตอร์ ไม่สามารถกลับคืนได้โดยสมบูรณ์ (lossy conversion)
  • เส้นที่แคบอาจ สูญหายไป หาก cell size ใหญ่เกินไป
  • Polygon ที่มีรูปร่างซับซ้อนอาจถูกแปลงผิดหากใช้เกณฑ์ centroid เพียงอย่างเดียว
  • การใช้ attribute ที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้พิกเซลแทนค่าผิดจากความเป็นจริง

📌 บทสรุปเชิงวิชาการ

การแปลงข้อมูลเวกเตอร์สู่ราสเตอร์ เป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้ข้อมูล GIS ถูกนำไปใช้ในบริบทการวิเคราะห์ที่เน้นเชิงพื้นที่ต่อเนื่อง หรือเมื่อข้อมูลต้องนำไปประมวลผลร่วมกับราสเตอร์ประเภทอื่น ๆ อย่างเช่นภาพถ่ายดาวเทียม หรือแบบจำลองเชิงพื้นที่ แม้ว่าจะมีข้อจำกัดเรื่องความแม่นยำและการสูญเสียรายละเอียดบางส่วน แต่หากดำเนินการโดยใช้เกณฑ์การแปลงที่เหมาะสม จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการวิเคราะห์เชิง GIS ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การแปลงข้อมูลเวกเตอร์เป็นแรสเตอร์ (Vector-to-Raster Conversion) ไม่เพียงเป็นการเปลี่ยนรูปแบบข้อมูลเท่านั้น แต่ยังเป็น กลไกสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพ ในการจัดการ วิเคราะห์ และบูรณาการข้อมูลในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องการ การประมวลผลเชิงพื้นที่แบบต่อเนื่อง (continuous surface analysis) หรือ เชิงเซลล์ (cell-based modeling) ซึ่งข้อมูลแรสเตอร์เหมาะสมกว่าอย่างเห็นได้ชัด


ประโยชน์ของการแปลงเวกเตอร์เป็นแรสเตอร์ในด้านการจัดการข้อมูล

🔹 1. การรวมข้อมูลจากแหล่งต่างชนิดให้อยู่ในรูปแบบเดียวกัน (Data Harmonization)

ในระบบ GIS ข้อมูลจำนวนมาก เช่น ภาพถ่ายดาวเทียม, แบบจำลองความสูง (DEM), หรือดัชนี NDVI มักอยู่ในรูปแบบแรสเตอร์ ดังนั้น การแปลงข้อมูลเวกเตอร์ เช่น ขอบเขตป่าไม้ เขตการใช้ที่ดิน หรือเส้นทางถนน ให้เป็นแรสเตอร์ จะช่วยให้สามารถ:

  • รวมข้อมูลเวกเตอร์กับราสเตอร์ บนมาตรวัดเดียวกัน (common spatial framework)
  • ทำ Overlay Analysis อย่างมีประสิทธิภาพ
  • สร้างระบบวิเคราะห์อัตโนมัติ (Automated Geoprocessing)

🔹 2. การวิเคราะห์เชิงพื้นที่แบบเชิงเส้นหรือเชิงต่อเนื่อง (Surface and Proximity Analysis)

เมื่อข้อมูลเวกเตอร์ถูกแปลงเป็นแรสเตอร์ จะสามารถดำเนินการวิเคราะห์ที่ซับซ้อนได้ง่ายขึ้น เช่น:

  • การคำนวณ ระยะทางจากสิ่งต่าง ๆ (Euclidean Distance)
  • การวิเคราะห์ความลาดชัน (Slope) ทิศทาง (Aspect)
  • การประเมินความเหมาะสมของพื้นที่ (Suitability Modeling)

✳️ ตัวอย่าง: การแปลงแนวถนน (line vector) ให้เป็น raster สามารถนำไปใช้วิเคราะห์ “ระยะทางจากถนน” เป็นพิกเซลต่อพิกเซล เพื่อใช้ประกอบการวางแผนโครงสร้างพื้นฐาน

🔹 3. การประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Spatial Data Processing)

ข้อมูลแรสเตอร์เหมาะกับการประมวลผลเชิงเมทริกซ์ และสามารถใช้ประโยชน์จากอัลกอริธึมเชิงคณิตศาสตร์ได้เต็มที่ ซึ่งรวมถึง:

  • การใช้เครื่องมือการวิเคราะห์แบบ Pixel-wise
  • การทำ Classification และ Machine Learning บนข้อมูลเชิงภาพ
  • การใช้แพลตฟอร์ม Cloud เช่น Google Earth Engine ซึ่งรองรับเฉพาะข้อมูลแรสเตอร์

🔹 4. การจัดเก็บข้อมูลแบบมีประสิทธิภาพในเชิงระบบ (Efficient Storage and Indexing)

ในบางกรณี โดยเฉพาะพื้นที่ขนาดใหญ่ที่มีจำนวนฟีเจอร์เวกเตอร์สูง การแปลงเป็นแรสเตอร์สามารถลดภาระในการจัดการข้อมูลเชิงโครงสร้าง (topology) ได้ เช่น:

  • ลดปัญหาเรื่อง Topological Rules เช่น Overlap, Gap, Dangle
  • ข้อมูลแรสเตอร์สามารถจัดเก็บแบบ tile-based หรือ multi-resolution pyramid ได้ง่าย
  • รองรับการ Index พื้นที่ขนาดใหญ่ใน spatial database เช่น PostgreSQL/PostGIS หรือ TileDB

🔹 5. รองรับการแสดงผลที่สม่ำเสมอและต่อเนื่อง (Cartographic Uniformity)

ในงานแสดงผลเชิงภาพ เช่น แผนที่ thematic, heatmap หรือ density map การใช้ข้อมูลแรสเตอร์ช่วยให้:

  • แสดงค่าความแตกต่างในพื้นที่ได้ แบบต่อเนื่อง
  • ปรับระดับสีหรือสัญลักษณ์ตามค่าพิกเซลได้ทันที
  • ช่วยให้เข้าใจพื้นที่จากภาพรวม (Visual Interpretation)

📌 บทสรุปเชิงวิเคราะห์

การแปลงข้อมูลเวกเตอร์เป็นแรสเตอร์ช่วยให้ GIS สามารถประมวลผลเชิงพื้นที่ได้ในระดับ เซลล์, รองรับการวิเคราะห์ร่วมกับ ฐานข้อมูลราสเตอร์ที่มีอยู่, และเสริมศักยภาพของการวางแผนและตัดสินใจในระดับภูมิศาสตร์ ทั้งในด้าน ทรัพยากรธรรมชาติ, ผังเมือง, สิ่งแวดล้อม, และ ภัยพิบัติ

กระบวนการแปลงนี้ควรดำเนินด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับ:

  • วิธีการให้รหัสพิกเซล (Presence, Dominant Type ฯลฯ)
  • ขนาดของเซลล์
  • ความละเอียดของข้อมูลต้นทาง

เพื่อหลีกเลี่ยง การสูญเสียข้อมูล, ความคลาดเคลื่อน, และ การตีความผิดพลาด


สรุปเชิงวิชาการ

การใช้เครื่องอ่านพิกัดร่วมกับการแปลงข้อมูลเวกเตอร์สู่ราสเตอร์ เป็นกระบวนการสำคัญในการพัฒนา ฐานข้อมูล GIS ที่มีความทันสมัย และเหมาะกับการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ทั้งในระดับภาพรวมและระดับจุลภาค อย่างไรก็ตาม ควรตระหนักถึง ข้อจำกัดเชิงเทคนิค เช่น ความคลาดเคลื่อนของพิกัด ความละเอียดของกริด และความล้าของผู้ปฏิบัติงาน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีความถูกต้องและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ทางวิชาการหรือการใช้งานภาคสนามอย่างแท้จริง

ใส่ความเห็น

Related Posts