บทที่ 2 : 2.2 องค์ประกอบด้านฮาร์ดแวร์
องค์ประกอบด้านฮาร์ดแวร์ (Hardware) ในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) หมายถึงส่วนประกอบของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มองเห็นและสัมผัสได้ ซึ่งทำหน้าที่สำคัญในการรับข้อมูล ประมวลผล และแสดงผลข้อมูลเชิงพื้นที่ โดยแบ่งตามหน้าที่หลัก ๆ ดังนี้
- หน่วยรับข้อมูล (Input Unit)
อุปกรณ์ที่ใช้รับข้อมูลเข้าสู่ระบบ เช่น คีย์บอร์ด เม้าส์ และดิจิไทเซอร์ (Digitizer) ซึ่งทำหน้าที่แปลงข้อมูลจากแผนที่หรือแหล่งข้อมูลภายนอกให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัลเพื่อส่งต่อไปยังหน่วยประมวลผลและจัดเก็บข้อมูล - หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit – CPU)
เป็นสมองของเครื่องคอมพิวเตอร์ ทำหน้าที่ควบคุมและประมวลผลข้อมูล โดยประกอบด้วย- หน่วยควบคุม (Control Unit) ที่จัดลำดับการทำงาน
- หน่วยคำนวณและตรรกะ (Arithmetic Logic Unit – ALU) ที่ทำการคำนวณและเปรียบเทียบข้อมูลตามหลักคณิตศาสตร์และตรรกศาสตร์
- หน่วยแสดงผล (Output Units)
อุปกรณ์ที่แสดงผลลัพธ์จากการประมวลผล เช่น จอภาพ (Monitor), เครื่องพิมพ์ (Printer), และพลอตเตอร์ (Plotter) ซึ่งใช้แสดงผลข้อมูลในรูปแบบกราฟิกหรือลายเส้น - หน่วยความจำสำรอง (Secondary Storage Units)
อุปกรณ์เก็บข้อมูลถาวร เช่น- ฮาร์ดดิสก์ (Hard Disk Drive) ที่มีความจุตั้งแต่หลายกิกะไบต์ขึ้นไป
- แผ่นดิสเก็ตต์ (Floppy Disk Drive) ขนาดต่าง ๆ
- ซีดีไรเตอร์ (CD-ReWritable Drive) ที่สามารถบันทึกและอ่านข้อมูลได้หลายรอบ
ข้อมูลในหน่วยความจำสำรองจะยังคงอยู่แม้ปิดเครื่อง
- หน่วยติดต่อสื่อสาร (Communication Units)
อุปกรณ์ที่ช่วยให้คอมพิวเตอร์เชื่อมต่อและสื่อสารข้อมูลกับเครื่องอื่น เช่น Network Card, MODEM เป็นต้น
ลักษณะเฉพาะของฮาร์ดแวร์ในระบบ GIS
- ต้องมีหน่วยความจำหลัก (Main Memory) ขนาดใหญ่ เช่น อย่างน้อย 64 MB หรือมากกว่า เพื่อรองรับการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่
- มี Math Coprocessor ช่วยในการประมวลผลตัวเลขและคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน
- จอภาพควรมีความละเอียดสูง เช่น VGA, Super VGA หรือสูงกว่า และอาจใช้จอสีหลายจอเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
- เครื่องพิมพ์และพลอตเตอร์ที่ใช้ควรรองรับการแสดงผลกราฟิกและลายเส้นหลายสี
- เครื่องดิจิไทเซอร์ (Digitizer) หรือเครื่องสแกนเนอร์ (Scanner) ใช้สำหรับแปลงข้อมูลแผนที่เข้าสู่ระบบดิจิทัล
ฮาร์ดแวร์เหล่านี้ทำงานร่วมกันเพื่อให้ระบบ GIS สามารถรับข้อมูล ประมวลผล วิเคราะห์ และแสดงผลข้อมูลเชิงพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

องค์ประกอบฮาร์ดแวร์ในการใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) ประกอบด้วยอุปกรณ์หลัก ๆ ดังนี้
- หน่วยรับข้อมูล (Input Unit)
อุปกรณ์ที่ใช้รับข้อมูลเข้าสู่ระบบ เช่น คีย์บอร์ด เม้าส์ และดิจิไทเซอร์ (Digitizer) ซึ่งช่วยแปลงข้อมูลจากแผนที่หรือแหล่งข้อมูลภายนอกให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล - หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit – CPU)
เป็นสมองของคอมพิวเตอร์ ทำหน้าที่ควบคุมและประมวลผลข้อมูล โดยมีหน่วยควบคุม (Control Unit) และหน่วยคำนวณและตรรกะ (Arithmetic Logic Unit – ALU) - หน่วยแสดงผล (Output Units)
อุปกรณ์แสดงผลลัพธ์ เช่น จอภาพ (Monitor), เครื่องพิมพ์ (Printer), และพลอตเตอร์ (Plotter) สำหรับแสดงผลข้อมูลในรูปแบบกราฟิกหรือลายเส้น - หน่วยความจำสำรอง (Secondary Storage Units)
อุปกรณ์เก็บข้อมูลถาวร เช่น ฮาร์ดดิสก์ (Hard Disk Drive), แผ่นดิสเก็ตต์ (Floppy Disk), และซีดีไรเตอร์ (CD-ReWritable Drive) ซึ่งเก็บข้อมูลแม้ปิดเครื่อง - หน่วยติดต่อสื่อสาร (Communication Units)
อุปกรณ์สำหรับเชื่อมต่อและสื่อสารข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ เช่น Network Card, MODEM
นอกจากนี้ ฮาร์ดแวร์สำหรับ GIS มักต้องการหน่วยความจำหลัก (RAM) ขนาดใหญ่ เช่น 64 MB ขึ้นไป และอาจมี Math Coprocessor เพื่อช่วยในการประมวลผลตัวเลขที่ซับซ้อน รวมถึงจอภาพที่มีความละเอียดสูงและเครื่องพิมพ์หรือพลอตเตอร์ที่รองรับการแสดงผลกราฟิกหลายสี
ฮาร์ดแวร์สำหรับระบบ GIS มีผลต่อค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากฮาร์ดแวร์เป็นส่วนประกอบหลักที่รองรับการประมวลผลข้อมูลเชิงพื้นที่ที่มีความซับซ้อนและขนาดใหญ่ โดยรายละเอียดผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายมีดังนี้
- ต้นทุนอุปกรณ์และเทคโนโลยี
ฮาร์ดแวร์ GIS ต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น หน่วยความจำหลัก (RAM) ขนาดใหญ่, Math Coprocessor สำหรับการคำนวณเชิงตัวเลขที่ซับซ้อน, จอภาพความละเอียดสูง และอุปกรณ์รับข้อมูลเฉพาะทาง เช่น ดิจิไทเซอร์ (Digitizer) หรือเครื่องสแกน (Scanner) ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้มีราคาสูงกว่าคอมพิวเตอร์ทั่วไป ส่งผลให้ต้นทุนเริ่มต้นสูงขึ้น - ค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บข้อมูล
ข้อมูลเชิงพื้นที่มักมีขนาดใหญ่ ต้องใช้หน่วยความจำสำรองที่มีความจุสูง เช่น ฮาร์ดดิสก์ความจุหลายสิบกิกะไบต์ หรือสื่อบันทึกข้อมูลอื่น ๆ ซึ่งเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านการจัดเก็บข้อมูล - ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและอัพเกรด
ฮาร์ดแวร์ที่มีความซับซ้อนและทันสมัยต้องการการบำรุงรักษาและอัพเกรดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้รองรับการประมวลผลข้อมูลที่เพิ่มขึ้นและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายต่อเนื่อง - ผลต่อประสิทธิภาพการทำงานและต้นทุนรวม
ฮาร์ดแวร์ที่มีประสิทธิภาพสูงช่วยให้การประมวลผลข้อมูลเชิงพื้นที่รวดเร็วและแม่นยำ ลดเวลาการทำงานและข้อผิดพลาด ส่งผลให้ลดต้นทุนด้านแรงงานและเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมขององค์กร เช่น กรณีศึกษาบริษัท DHL Express ที่ใช้ GIS ช่วยลดจำนวนพนักงานและเวลาทำงานได้อย่างมาก - ผลต่อการลงทุนในซอฟต์แวร์และบุคลากร
ฮาร์ดแวร์ที่มีความสามารถสูงมักต้องใช้ซอฟต์แวร์และบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญสูงตามไปด้วย ซึ่งเพิ่มค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ด้วย
สรุปคือ ฮาร์ดแวร์ GIS ที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพสูงจะเพิ่มค่าใช้จ่ายในการลงทุนและดำเนินงาน แต่ก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดเวลาทำงาน และลดต้นทุนในระยะยาว ทำให้องค์กรได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าจากการใช้งานระบบ GIS
การใช้ฮาร์ดแวร์แบบใหม่สำหรับระบบ GIS มีผลต่อประสิทธิภาพการใช้งานในหลายด้าน ดังนี้
- เพิ่มความเร็วและความแม่นยำในการประมวลผลข้อมูลเชิงพื้นที่
ฮาร์ดแวร์ที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น หน่วยประมวลผลกลาง (CPU) ที่เร็วขึ้น หน่วยความจำหลัก (RAM) ขนาดใหญ่ และ Math Coprocessor ช่วยให้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่ที่ซับซ้อน เช่น การซ้อนทับชั้นข้อมูล (Overlay) หรือการวิเคราะห์แบบ Raster ทำได้รวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น - รองรับการจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ได้ดีขึ้น
ฮาร์ดดิสก์และอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่มีความจุสูงและความเร็วในการอ่านเขียนข้อมูลที่ดี ช่วยให้สามารถจัดเก็บและเข้าถึงข้อมูลแผนที่และภาพถ่ายดาวเทียมที่มีขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ - เพิ่มความสามารถในการแสดงผลข้อมูล
จอภาพที่มีความละเอียดสูงและการ์ดกราฟิกที่ทันสมัย ช่วยให้การแสดงผลแผนที่และข้อมูลเชิงพื้นที่มีความคมชัด สีสันสมจริง และสามารถแสดงรายละเอียดได้มากขึ้น - สนับสนุนการใช้งานร่วมกับเทคโนโลยีอื่น ๆ
ฮาร์ดแวร์ใหม่ช่วยให้ระบบ GIS สามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยีอื่น ๆ เช่น Remote Sensing (RS), GPS และ Cloud Computing ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้การเก็บข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่มีความรวดเร็วและทันสมัยมากขึ้น - ลดเวลาการทำงานและเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวม
การใช้ฮาร์ดแวร์ที่ทันสมัยช่วยลดเวลาการประมวลผลและขั้นตอนการทำงาน ทำให้ผู้ใช้สามารถตัดสินใจได้รวดเร็วขึ้นและลดข้อผิดพลาดในการวิเคราะห์ข้อมูล - เพิ่มความยืดหยุ่นและความสามารถในการขยายระบบ
ฮาร์ดแวร์ใหม่ที่รองรับการทำงานบน Cloud หรือระบบเครือข่าย ช่วยให้องค์กรสามารถขยายระบบ GIS ตามความต้องการใช้งานจริงได้อย่างยืดหยุ่นและประหยัดต้นทุน
สรุปคือ การใช้ฮาร์ดแวร์แบบใหม่ในระบบ GIS ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผล การจัดเก็บ และการแสดงผลข้อมูลเชิงพื้นที่ ทำให้การวิเคราะห์และการตัดสินใจเป็นไปอย่างรวดเร็ว แม่นยำ และมีประสิทธิผลมากขึ้น พร้อมทั้งสนับสนุนการทำงานร่วมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่และเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน
การใช้ฮาร์ดแวร์แบบใหม่สำหรับระบบ GIS มีผลต่อคุณภาพของข้อมูลในหลายด้าน ดังนี้
- เพิ่มความถูกต้องและความแม่นยำของข้อมูล (Accuracy)
ฮาร์ดแวร์ที่ทันสมัย เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีหน่วยประมวลผลเร็วและ Math Coprocessor ช่วยให้การประมวลผลข้อมูลเชิงพื้นที่มีความแม่นยำสูงขึ้น ลดข้อผิดพลาดจากการคำนวณและการแปลงข้อมูล ทำให้ข้อมูลที่ได้มีความถูกต้องตรงกับสภาพจริงมากขึ้น - รองรับการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่และซับซ้อน
ฮาร์ดแวร์ใหม่ที่มีหน่วยความจำและพื้นที่จัดเก็บข้อมูลมากขึ้น ช่วยให้สามารถจัดเก็บข้อมูลเชิงพื้นที่และข้อมูลเชิงบรรยายได้ครบถ้วนและสมบูรณ์ ลดปัญหาข้อมูลขาดหายหรือไม่ครบถ้วน ซึ่งส่งผลดีต่อความสมบูรณ์ของข้อมูล (Completeness) - เพิ่มความทันสมัยของข้อมูล (Timeliness)
ฮาร์ดแวร์ที่มีประสิทธิภาพสูงช่วยให้การนำเข้าข้อมูล การอัพเดต และการประมวลผลข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ข้อมูลในระบบ GIS มีความทันสมัยและพร้อมใช้งานในเวลาที่เหมาะสม - สนับสนุนการใช้งานข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ
ฮาร์ดแวร์ใหม่ช่วยให้สามารถจัดการกับข้อมูลทั้งแบบ Vector และ Raster ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งแต่ละรูปแบบมีข้อดีและข้อจำกัดแตกต่างกัน การใช้ฮาร์ดแวร์ที่เหมาะสมช่วยให้ข้อมูลมีคุณภาพสูงและเหมาะสมกับการวิเคราะห์ที่ต้องการ - ลดข้อผิดพลาดจากกระบวนการแปลงข้อมูล
การใช้ฮาร์ดแวร์ที่ทันสมัย เช่น ดิจิไทเซอร์และสแกนเนอร์ที่มีความละเอียดสูง ช่วยลดข้อผิดพลาดในการแปลงข้อมูลจากแผนที่กระดาษเป็นข้อมูลดิจิทัล ทำให้ข้อมูลที่ได้มีความถูกต้องและละเอียดมากขึ้น - ส่งเสริมการประสานงานและการแลกเปลี่ยนข้อมูล
ฮาร์ดแวร์ที่รองรับการสื่อสารข้อมูลผ่านเครือข่าย (Communication Units) ช่วยให้การแลกเปลี่ยนและอัพเดตข้อมูลระหว่างหน่วยงานเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ข้อมูลมีความสอดคล้องและเป็นปัจจุบันมากขึ้น
สรุปคือ การใช้ฮาร์ดแวร์แบบใหม่ในระบบ GIS ช่วยเพิ่มคุณภาพของข้อมูลในแง่ของความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความทันสมัย และความน่าเชื่อถือของข้อมูล ทำให้การวิเคราะห์และการตัดสินใจที่อาศัยข้อมูล GIS มีประสิทธิผลและแม่นยำมากขึ้น
การใช้ฮาร์ดแวร์แบบใหม่สำหรับระบบ GIS มีผลอย่างมากต่อความสามารถในการจัดการข้อมูลในพื้นที่ขนาดใหญ่ ดังนี้
- รองรับการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ได้ดีขึ้น
ฮาร์ดแวร์ที่มีหน่วยความจำหลัก (RAM) และพื้นที่จัดเก็บข้อมูล (Storage) ขนาดใหญ่ ช่วยให้สามารถเก็บข้อมูลเชิงพื้นที่และข้อมูลเชิงบรรยายจำนวนมากได้อย่างครบถ้วนและรวดเร็ว ลดปัญหาการขาดแคลนพื้นที่จัดเก็บและการเข้าถึงข้อมูลช้า - เพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลข้อมูลเชิงพื้นที่ที่ซับซ้อน
หน่วยประมวลผลกลาง (CPU) ที่มีความเร็วสูงและ Math Coprocessor ช่วยให้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่ เช่น การซ้อนทับชั้นข้อมูล (Overlay) หรือการวิเคราะห์แบบ Raster ที่มีความซับซ้อนและใช้ข้อมูลจำนวนมาก สามารถทำได้รวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น - สนับสนุนการใช้งานข้อมูลจากเทคโนโลยีอื่น ๆ อย่าง Remote Sensing (RS) และ GPS
ฮาร์ดแวร์ใหม่ช่วยให้ระบบ GIS สามารถประมวลผลข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมและข้อมูลตำแหน่งจาก GPS ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้การวิเคราะห์พื้นที่ขนาดใหญ่มีความละเอียดและทันสมัย - เพิ่มความรวดเร็วในการแสดงผลและการเข้าถึงข้อมูล
จอภาพความละเอียดสูงและการ์ดกราฟิกที่ทันสมัยช่วยให้การแสดงผลข้อมูลเชิงพื้นที่ขนาดใหญ่มีความคมชัดและตอบสนองได้รวดเร็ว ช่วยให้ผู้ใช้สามารถวิเคราะห์และตัดสินใจได้ทันเวลา - สนับสนุนการทำงานร่วมกันและการแลกเปลี่ยนข้อมูลในเครือข่าย
ฮาร์ดแวร์ที่รองรับการสื่อสารข้อมูลผ่านเครือข่าย (Network Card, MODEM) ช่วยให้การแชร์และอัพเดตข้อมูลระหว่างหน่วยงานหรือผู้ใช้หลายคนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ แม้ในพื้นที่ขนาดใหญ่ที่มีข้อมูลจำนวนมาก
สรุปคือ ฮาร์ดแวร์แบบใหม่ช่วยเพิ่มความสามารถในการจัดการข้อมูลเชิงพื้นที่ขนาดใหญ่ของระบบ GIS ทั้งในด้านการจัดเก็บ การประมวลผล การวิเคราะห์ และการแสดงผล ทำให้การทำงานกับข้อมูลพื้นที่ขนาดใหญ่เป็นไปอย่างรวดเร็ว แม่นยำ และมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
ฮาร์ดแวร์ประเภทโดรน (Drone) สำหรับระบบ GIS เป็นอุปกรณ์สำคัญที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเชิงพื้นที่จากมุมสูง โดยมีคุณสมบัติและการใช้งานที่โดดเด่นดังนี้
- โดรนสำรวจและทำแผนที่ 2D/3D
ใช้สำหรับสร้างแผนที่ภูมิประเทศและโมเดล 3 มิติที่แม่นยำ เช่น DJI Mavic 3E และ Matrice 350 RTK ที่มาพร้อมกับเซนเซอร์ความละเอียดสูงและระบบ RTK ช่วยลดจำนวนจุดควบคุมภาคพื้นดิน (GCP) และเพิ่มความแม่นยำของข้อมูล - โดรนที่ติดตั้งระบบ RTK/PPK
เช่น DJI Matrice 300 RTK หรือรุ่นที่รองรับเทคโนโลยี Real-Time Kinematic (RTK) หรือ Post-Processed Kinematic (PPK) เพื่อเพิ่มความแม่นยำของตำแหน่งข้อมูล ลดความจำเป็นในการใช้จุดควบคุมภาคพื้นดิน (GCP) และเพิ่มความถูกต้องของข้อมูลเชิงพื้นที่ - การเก็บข้อมูลภาพถ่ายและ LiDAR
โดรนรุ่นใหม่สามารถติดตั้งกล้องความละเอียดสูงและอุปกรณ์ LiDAR เพื่อเก็บข้อมูลภาพถ่ายและข้อมูลความสูงเชิงเลข (Digital Surface Model – DSM) ที่มีความละเอียดสูงและถูกต้องทางตำแหน่ง โดรนควรติดตั้งกล้องถ่ายภาพความละเอียดสูงสำหรับเก็บภาพถ่ายทางอากาศ และอุปกรณ์ LiDAR สำหรับเก็บข้อมูลความสูงเชิงเลข (Digital Surface Model) ที่มีความละเอียดและแม่นยำสูง เพื่อใช้ในการสร้างแผนที่ 2D/3D และโมเดลภูมิประเทศ - ซอฟต์แวร์ประมวลผลภาพจากโดรน
มีซอฟต์แวร์เฉพาะทางสำหรับประมวลผลภาพถ่ายจากโดรน เช่น Pix4Dmapper, Drone2Map for ArcGIS, Agisoft PhotoScan, Reality Mapping for ArcGIS Pro ซึ่งช่วยสร้าง orthophotos, 3D mesh, point cloud และแบบจำลอง DSM/DEM ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ - ระบบบริหารจัดการการบินและข้อมูลบนคลาวด์
เช่น Site Scan for ArcGIS ที่ช่วยวางแผนการบิน ติดตามประวัติการบิน และประมวลผลข้อมูลบนคลาวด์อย่างปลอดภัย ทำให้การจัดการข้อมูลและการวิเคราะห์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสะดวก - ประโยชน์ในการวางแผนและวิเคราะห์
ข้อมูลที่ได้จากโดรนช่วยให้การวางแผนเมือง การจัดการทรัพยากร และการวิเคราะห์เชิงพื้นที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลดเวลาและต้นทุนในการสำรวจภาคสนาม - ความสะดวกและประหยัดต้นทุน
โดรนมีความคล่องตัวสูง สามารถบินสำรวจพื้นที่ได้รวดเร็วและครอบคลุมพื้นที่กว้าง ลดความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายเมื่อเทียบกับการสำรวจภาคพื้นดินแบบดั้งเดิม
สรุปคือ โดรนสำหรับ GIS ที่เหมาะสมควรมีระบบ RTK/PPK เพื่อความแม่นยำสูง กล้องและเซนเซอร์ LiDAR ความละเอียดสูง พร้อมซอฟต์แวร์ประมวลผลภาพที่รองรับการสร้างข้อมูลเชิงพื้นที่ 2D/3D และระบบบริหารจัดการข้อมูลที่ช่วยให้การทำงานครบวงจรและมีประสิทธิภาพสูงสุด เป็นเครื่องมือที่ช่วยเก็บข้อมูลเชิงพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และมีประสิทธิภาพสูง พร้อมซอฟต์แวร์ประมวลผลภาพที่รองรับการสร้างข้อมูล 2D และ 3D เพื่อใช้ในการวางแผนและวิเคราะห์เชิงพื้นที่ในงานต่าง ๆ ได้อย่างครบวงจร.