Google Maps และ Google Earth
Google Maps และ Google Earth: ความเหมือนและความแตกต่างในบริบททางภูมิสารสนเทศ
กูเกิลแมพและกูเกิลเอิร์ท
Google Maps และ Google Earth เป็นเครื่องมือด้าน ภูมิสารสนเทศ (Geospatial Tools) ที่พัฒนาโดยบริษัท Google Inc. โดยทั้งสองระบบมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงข้อมูลเชิงพื้นที่ผ่านอินเทอร์เน็ต แต่มี ลักษณะการทำงาน วัตถุประสงค์การใช้งาน และระดับความซับซ้อนของข้อมูลที่แตกต่างกัน

🔹 Google Maps: เครื่องมือเพื่อการสืบค้นและนำทาง
Google Maps คือระบบ แผนที่ดิจิทัลเชิงโต้ตอบ (Interactive Digital Mapping System) ที่มีเป้าหมายหลักในการให้บริการด้าน การนำทาง (Navigation), การค้นหาสถานที่ (Place Search), และ การคำนวณเส้นทางเดินทาง (Route Calculation) ทั้งทางรถยนต์ ระบบขนส่งสาธารณะ หรือการเดินเท้า
- เน้นการใช้งานแบบ เรียลไทม์ (Real-Time) เช่น การแสดงสภาพการจราจรทันที การนำทางแบบ Turn-by-Turn และข้อมูลธุรกิจท้องถิ่น
- แสดงผลเป็น แผนที่ 2 มิติ ที่ครอบคลุมทั้งแบบแผนที่ถนน (Street Map), แผนที่ดาวเทียม (Satellite Map) และ Street View
- เชื่อมต่อกับระบบปฏิบัติการมือถือและระบบนำทางภายในยานพาหนะ
🔹 Google Earth: เครื่องมือเพื่อการสำรวจและการวิเคราะห์ภูมิประเทศ
Google Earth คือระบบ การจำลองภาพภูมิประเทศ 3 มิติ (3D Geospatial Visualization) ที่รวบรวมข้อมูลจาก ภาพถ่ายดาวเทียม, ภาพถ่ายทางอากาศ, และ แบบจำลองภูมิประเทศ (DEM) เพื่อแสดงภาพจำลองโลกที่มีความละเอียดสูง
- เหมาะสำหรับงานด้าน การวิเคราะห์ภูมิประเทศ, การศึกษาด้านสิ่งแวดล้อม, การใช้ที่ดิน, และ การเปรียบเทียบเชิงเวลา (Time Series Analysis)
- รองรับไฟล์ KML/KMZ เพื่อการสร้าง เลเยอร์ข้อมูลเชิงพื้นที่แบบกำหนดเอง (Custom Geospatial Layers)
- แสดงผลในรูปแบบ สามมิติ (3D Visualization) พร้อมฟังก์ชัน “บินสำรวจ” (Fly To) และ “Historical Imagery”
คุณลักษณะเชิงวิชาการของโปรแกรม Google Earth และศักยภาพด้านภูมิสารสนเทศ
Google Earth เป็นซอฟต์แวร์ระบบภูมิสารสนเทศที่พัฒนาโดยบริษัท Google มีฟังก์ชันหลักในการแสดงผลแผนที่ดิจิทัลและภาพถ่ายจากดาวเทียมในลักษณะ ภาพสามมิติ (3D Virtual Globe) โดยสามารถซูมหรือย่อขยายแผนที่เพื่อแสดงสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลกได้อย่างละเอียด โปรแกรมนี้ถูกออกแบบมาเพื่อสนับสนุนทั้ง การสำรวจแหล่งท่องเที่ยว, การวางแผนเส้นทางการเดินทาง, และ การประยุกต์ใช้ในด้านการบริหารจัดการโลจิสติกส์ เช่น การวิเคราะห์เส้นทางจัดส่งสินค้าไปยังจุดหมายปลายทางของลูกค้า
การแสดงผลของ Google Earth อาศัย ภาพถ่ายจากดาวเทียมหลายประเภท ซึ่งประกอบด้วย:
- ภาพจาก ดาวเทียม LANDSAT ซึ่งมีรายละเอียดเชิงพื้นที่ประมาณ 30 เมตร
- ภาพจาก ดาวเทียม IKONOS ที่ให้รายละเอียดระดับ 1 เมตร
- และในบางพื้นที่ยังมีการใช้ ภาพจากดาวเทียม QUICKBIRD ซึ่งมีความละเอียดสูงกว่า 0.6 เมตร
ทั้งนี้ คุณภาพของภาพจะแตกต่างกันตามพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ โดยทั่วไปบริเวณที่มีรายละเอียดสูงจะครอบคลุมพื้นที่ใน ทวีปอเมริกาเหนือ โดยเฉพาะ สหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม สำหรับ ประเทศไทย ก็มีบางพื้นที่ที่แสดงผลด้วยความละเอียดสูง ได้แก่ เขต กรุงเทพมหานคร, พื้นที่ปริมณฑล และ เมืองท่องเที่ยวหลัก เช่น ชลบุรี, เชียงใหม่, นครราชสีมา, และ ขอนแก่น
Google Earth เปิดตัวในเดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2548 โดยนำเสนอแนวคิดใหม่ในการเข้าถึงข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียมผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และแสดงผลในรูปแบบแผนที่ สองมิติ และ สามมิติ ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โปรแกรมนี้จึงถือเป็นก้าวสำคัญของเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศสำหรับผู้ใช้ทั่วไปและผู้เชี่ยวชาญในหลายสาขา
ภาพถ่ายที่ปรากฏใน Google Earth ได้รับการประมวลผลล่วงหน้า ซึ่งหมายความว่า ไม่ใช่ภาพสดในเวลาจริง (real-time imagery) แต่เป็นข้อมูลที่ถูกจัดเก็บไว้ในระบบ และมีการอัปเดตตามรอบเวลา โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความสำคัญเชิงเศรษฐกิจหรือภูมิรัฐศาสตร์
ในขณะที่ ระบบภาพถ่ายสดแบบใกล้เคียงเวลาจริง (near-real time) เช่น ที่ใช้ในงานอุตุนิยมวิทยา หรืองานติดตามพายุ ฝน หรือกลุ่มเมฆนั้น อาจอ้างอิงข้อมูลจากแหล่งอื่น เช่น NOAA, Himawari หรือระบบสังเกตการณ์เมฆจากเรดาร์ภาคพื้นดิน ซึ่งแยกต่างหากจาก Google Earth โดยตรง
สรุปเชิงวิเคราะห์
Google Earth ไม่เพียงเป็นเครื่องมือที่แสดงแผนที่โลกในรูปแบบสามมิติเท่านั้น หากยังเป็น แพลตฟอร์มทางภูมิสารสนเทศ ที่มีศักยภาพในการสนับสนุนการเรียนรู้ การสำรวจ และการวางแผนเชิงกลยุทธ์ในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะเมื่อมีการผนวกเข้ากับข้อมูลจากระบบ GIS และการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ จะยิ่งเพิ่มมูลค่าทางวิชาการและการประยุกต์ใช้งานได้อย่างกว้างขวางและลึกซึ้งยิ่งขึ้น
การใช้งาน Google Maps ผ่านเว็บเบราว์เซอร์: รูปแบบและฟังก์ชันพื้นฐาน
Google Maps เป็นแพลตฟอร์มแสดงแผนที่ในรูปแบบ แผนที่ดิจิทัลสองมิติ ซึ่งให้บริการผ่านเว็บเบราว์เซอร์ โดยมีการเชื่อมโยงข้อมูลกับระบบ Google Earth เพื่อสนับสนุนการสำรวจและการเข้าถึงข้อมูลภูมิสารสนเทศเชิงตำแหน่งอย่างสะดวกและรวดเร็ว ผู้ใช้สามารถเข้าถึงบริการผ่านเว็บไซต์ http://maps.google.com และในกรณีที่ต้องการกำหนดพิกัดเฉพาะเจาะจง เช่น พื้นที่ใน ประเทศไทย สามารถเพิ่มเติมค่าพิกัดภูมิศาสตร์ (latitude, longitude) เช่น http://maps.google.com/maps?ll=14,100 เพื่อเรียกดูพื้นที่บริเวณละติจูด 14° และลองจิจูด 100° ได้โดยตรง
Google Maps มีรูปแบบการแสดงผลหลักให้เลือกใช้งาน สามประเภท ดังนี้:
- Map View แสดงผลในรูปของ แผนที่แบบกราฟิกเชิงภูมิศาสตร์ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลภูมิประเทศและระบบข้อมูลภูมิสารสนเทศ (Geographic Information Systems: GIS)
- Satellite View แสดงผลด้วย ภาพถ่ายจากดาวเทียม ที่ผ่านการประมวลผลเชิงตัวเลข และจัดระบุตำแหน่งพิกัดภูมิศาสตร์ที่สอดคล้องกับพื้นผิวโลกจริง
- Hybrid View แสดงภาพถ่ายจากดาวเทียมซ้อนทับด้วยข้อมูลแผนที่แบบกราฟิก เช่น เส้นถนน, ชื่อสถานที่, และสัญลักษณ์ภูมิศาสตร์ ทำให้สามารถเชื่อมโยง เชิงภาพ และ เชิงข้อมูล ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การใช้งาน Google Maps ผ่านเว็บเบราว์เซอร์จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงพื้นที่ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และสามารถประยุกต์ใช้ในบริบทของการวางแผน, การศึกษา, หรือการวิเคราะห์เชิงภูมิสารสนเทศในระดับเบื้องต้นได้อย่างครอบคลุม
การประยุกต์ใช้งาน Google Earth: โอกาสทางการศึกษาและสารสนเทศเชิงพื้นที่
Google Earth เป็นโปรแกรมที่เปิดให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้ทั้งในรูปแบบ ไม่เสียค่าใช้จ่าย และ เสียค่าบริการรายปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการเข้าถึงข้อมูลเชิงพื้นที่ผ่านการประมวลผลข้อมูลจาก ระบบรีโมทเซนซิง (Remote Sensing) และ ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information Systems: GIS) ซึ่งโปรแกรมนี้สามารถนำเสนอภาพถ่ายดาวเทียมในรูปแบบที่มีการเชื่อมโยงกับพิกัดภูมิศาสตร์ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถระบุตำแหน่งที่ตั้งของพื้นที่ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การทำงานของ Google Earth อาศัย เทคโนโลยีการสื่อสารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เพื่อดึงข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียมมาประมวลผลและแสดงผลในลักษณะ แผนที่ดิจิทัล 3 มิติ ที่เสมือนจริง ทั้งนี้ยังสอดคล้องกับแนวคิด Edutainment ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างความรู้ (Education) และความบันเทิง (Entertainment) ที่เหมาะสมกับการใช้งานทั้งในระดับครัวเรือน การศึกษาขั้นพื้นฐาน ตลอดจนระดับอุดมศึกษา
ผู้ใช้งานสามารถ ดาวน์โหลดและจัดเก็บข้อมูลแผนที่ไว้ในหน่วยความจำสำรอง ของเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา และสามารถเรียกดูข้อมูลที่ดาวน์โหลดไว้ได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่อำนวยความสะดวกในพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณเครือข่ายหรือมีข้อจำกัดในการเข้าถึงระบบออนไลน์
แม้ Google Earth จะสามารถแสดงข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมได้อย่างละเอียดในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว เช่น กรุงเทพมหานคร ชลบุรี เชียงใหม่ นครราชสีมา และขอนแก่น แต่ระบบยังมีข้อจำกัดในเรื่อง ความสมบูรณ์ของฐานข้อมูลในบางพื้นที่ ซึ่งต้องอาศัยการป้อนข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้ใช้ โดยเฉพาะในเวอร์ชันที่เสียค่าลิขสิทธิ์รายปี (Google Earth Pro) ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ใช้นำเข้า ภาพถ่ายจากดาวเทียม, ภาพถ่ายทางอากาศ, ภาพถ่ายจากกล้องดิจิทัล รวมทั้ง ข้อมูล GIS จากหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อเสริมข้อมูลให้ครอบคลุมมากขึ้น
ตัวอย่างการใช้งานจริง เช่น การสำรวจพื้นที่บริเวณสนามหลวง ผู้ใช้สามารถ ซูมและขยายภาพเพื่อศึกษารายละเอียดเชิงพื้นที่ และเรียกดูภาพถ่ายประกอบ ตลอดจนข้อมูลประกอบสถานที่นั้น ๆ ซึ่งช่วยเพิ่มศักยภาพในการวางแผนงานภาคสนาม การวิเคราะห์ข้อมูลภูมิศาสตร์ หรือแม้กระทั่งการประเมินเชิงพื้นที่ในระดับชุมชน
🔎 เปรียบเทียบคุณลักษณะของ Google Maps และ Google Earth
🔍 ตารางเปรียบเทียบคุณลักษณะเชิงฟังก์ชัน
หัวข้อเปรียบเทียบ | Google Maps | Google Earth |
---|---|---|
วัตถุประสงค์หลัก | การนำทาง ค้นหาตำแหน่ง และวางแผนการเดินทางในชีวิตประจำวัน | การสำรวจโลกในลักษณะภาพ 3 มิติ และการศึกษาเชิงพื้นที่ |
ลักษณะการแสดงผล | แผนที่ 2 มิติ พร้อมข้อมูลถนน การจราจร และสถานที่ต่าง ๆ | ภาพถ่ายดาวเทียม ภูมิประเทศจำลอง และแบบจำลองสิ่งปลูกสร้าง 3 มิติ |
ความสามารถเชิงวิเคราะห์ | จำกัด – เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป เช่น เส้นทางจราจร POIs และร้านค้า | สูง – รองรับข้อมูล KML/KMZ, วิเคราะห์เชิงพื้นที่, เลเยอร์ซ้อน และ Time Series |
ฐานข้อมูลหลัก | แผนที่ถนน จุดสนใจ (Points of Interest: POIs) ข้อมูลธุรกิจ | ภาพถ่ายดาวเทียม ภาพถ่ายทางอากาศ และแบบจำลองภูมิประเทศ (DEM) |
การใช้งานผ่านมือถือ | ใช้งานง่าย สะดวก เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป | รองรับผ่านแอปพลิเคชัน แต่ซับซ้อนและต้องการความเข้าใจมากกว่า |
การแชร์ตำแหน่ง | แชร์ตำแหน่งแบบเรียลไทม์ และติดตามการเคลื่อนไหวได้ | แชร์ตำแหน่งผ่านการบันทึกและบุ๊กมาร์ก แต่ไม่มีระบบติดตามแบบเรียลไทม์ |
การแสดงผลแบบ 3 มิติ | จำกัด เฉพาะบางเมืองและบางพื้นที่ | รองรับภาพ 3 มิติที่ละเอียดและครอบคลุมทั่วโลก |
กลุ่มผู้ใช้งานหลัก | บุคคลทั่วไป นักเดินทาง คนใช้รถในชีวิตประจำวัน | นักเรียน นักวิจัย ครู อาจารย์ และผู้สนใจศึกษาด้านภูมิสารสนเทศหรือภูมิศาสตร์ |
ฟีเจอร์เฉพาะ | การนำทางแบบ Turn-by-Turn, แสดงสภาพจราจร, แชร์ตำแหน่ง | Voyager Tours, Timelapse, “I’m Feeling Lucky” สำหรับการสำรวจโลกแบบสุ่ม |
📌 สรุปคือ Google Maps เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน เช่น การนำทางและค้นหาสถานที่ ขณะที่ Google Earth เหมาะกับการสำรวจโลกในมุมมองที่ลึกซึ้งและสมจริงมากขึ้น โดยเฉพาะในเชิงการศึกษาและการวิจัย
การทำงานร่วมกันของ Google Earth และ Google Maps
Google Earth และ Google Maps เป็นระบบภูมิสารสนเทศเชิงพาณิชย์ที่พัฒนาโดยบริษัท Google ซึ่งทั้งสองระบบได้รับการออกแบบมาเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงข้อมูลเชิงพื้นที่ผ่านเทคโนโลยีออนไลน์ โดยแม้จะมีลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกันในเชิงมิติและวัตถุประสงค์ แต่ก็มีความสามารถในการ เชื่อมโยงข้อมูลและใช้งานฐานข้อมูลเดียวกัน เพื่อให้เกิดความสอดคล้องและสนับสนุนการใช้งานข้ามระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อมูลเชิงตำแหน่ง เช่น ชื่อสถานที่ หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด หรือข้อมูลพิกัดภูมิศาสตร์ (Geographic Coordinates) ที่ผู้ใช้ทำการค้นหาใน Google Maps จะถูกอ้างอิงร่วมกับ Google Earth ผ่านฐานข้อมูลกลางของ Google ทำให้การสืบค้นสามารถดำเนินได้ทั้งในรูปแบบแผนที่ 2 มิติ และในรูปแบบของโลกเสมือน 3 มิติ
Google Earth มีการใช้ภาพถ่ายดาวเทียมความละเอียดสูงร่วมกับเทคโนโลยีสตรีมมิงภาพ เพื่อแสดงผลในลักษณะของ โลกสามมิติ (3D Virtual Globe) โดยผสานกับข้อมูลจาก Google Maps เช่น ข้อมูลถนน โครงสร้างพื้นฐาน และป้ายบอกสถานที่ต่าง ๆ ในขณะที่ Google Maps ให้ความสำคัญกับการแสดงข้อมูลแบบ 2 มิติ เช่น เส้นทางการเดินทาง สภาพการจราจรแบบเรียลไทม์ และระบบนำทาง (Navigation)
ผู้ใช้งานสามารถสลับมุมมองได้ระหว่างระบบ โดย Google Maps มีฟังก์ชันการแสดงผลแบบ Satellite View และ Earth View ซึ่งอ้างอิงภาพจาก Google Earth ในขณะที่ Google Earth ก็สามารถใช้งานร่วมกับข้อมูลจาก Google Maps เพื่อการสืบค้นสถานที่หรือแสดงป้ายตำแหน่งเชิงโต้ตอบ (Interactive Labels)
อีกหนึ่งจุดเด่นคือ การสนับสนุนข้อมูลในรูปแบบ KML/KMZ (Keyhole Markup Language) ซึ่งเป็นมาตรฐานการจัดเก็บข้อมูลเชิงภูมิสารสนเทศใน Google Earth และสามารถนำมาแสดงผลร่วมกับ Google Maps ได้ในบางบริบท เช่น การระบุขอบเขตพื้นที่ เส้นทาง หรือจุดสนใจเฉพาะ (Points of Interest)
🔍 เปรียบเทียบคุณลักษณะของ Google Earth กับซอฟต์แวร์ GIS อื่น ๆ
คุณสมบัติ / ซอฟต์แวร์ | Google Earth | ArcGIS (Esri) | QGIS (Open Source) | GRASS GIS |
---|---|---|---|---|
ประเภทซอฟต์แวร์ | Visualization tool | Commercial GIS | Open-source GIS | Open-source GIS |
การแสดงผลข้อมูล | 3D Visualization, Virtual Globe | 2D/3D Visualization, Advanced Cartography | 2D/3D Visualization | 2D/3D Visualization |
วัตถุประสงค์หลัก | การสำรวจโลก, นำเสนอข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม | วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่ขั้นสูง | การวิเคราะห์เชิงพื้นที่ในระดับปฏิบัติการ | การวิเคราะห์เชิงพื้นที่ขั้นสูงด้านสิ่งแวดล้อม |
การรองรับข้อมูล GIS | รองรับไฟล์ KML/KMZ, GeoTIFF (บางกรณี) | รองรับ Shapefile, Raster, Geodatabase ฯลฯ | รองรับ Shapefile, GeoPackage, Raster ฯลฯ | รองรับ Shapefile, Raster, NetCDF ฯลฯ |
ฟังก์ชันการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ | จำกัด (วัดระยะ, วัดพื้นที่, เส้นทาง) | ครบถ้วน เช่น Overlay, Interpolation, Modeling | ครบถ้วน ใกล้เคียง ArcGIS มาก (ผ่าน Plugin) | ครบถ้วน เน้นการวิเคราะห์เชิงคณิตศาสตร์ |
รองรับการนำเข้าข้อมูลจาก GPS | ไม่รองรับโดยตรง | รองรับเต็มรูปแบบ | รองรับผ่าน Plugin | รองรับ (เน้นการประมวลผลอัตโนมัติ) |
ความสามารถด้านฐานข้อมูล | ไม่มีระบบจัดการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ | รองรับ Geodatabase / SQL-based | รองรับ PostgreSQL/PostGIS | รองรับ PostgreSQL/PostGIS |
ระบบปฏิบัติการที่รองรับ | Windows, MacOS | Windows (บางฟังก์ชันรองรับ Mac ผ่าน VM) | Windows, MacOS, Linux | Linux (เน้น), Windows, MacOS (บางเวอร์ชัน) |
ต้นทุนการใช้งาน | ฟรี (Google Earth Pro), จำกัดฟีเจอร์ | ต้องซื้อไลเซนส์สูง | ฟรี 100% | ฟรี 100% |
เหมาะสำหรับ | ผู้ใช้ทั่วไป, ด้านการศึกษา, การท่องเที่ยว | หน่วยงานรัฐ, บริษัทเอกชน, งานวิจัยขั้นสูง | นักวิชาการ, นักศึกษา, งานพัฒนาโครงการ | นักวิจัยสิ่งแวดล้อม, วิศวกรข้อมูลเชิงระบบ |
🔎 ข้อสรุปเชิงวิชาการ
- Google Earth มีจุดแข็งด้าน การนำเสนอภาพข้อมูลภูมิศาสตร์ในรูปแบบ 3 มิติ ที่เข้าถึงได้ง่าย เหมาะสำหรับการสื่อสารข้อมูลกับผู้ใช้ทั่วไปหรือในบริบทการเรียนรู้เบื้องต้น แต่ จำกัด ในด้านการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ขั้นสูง
- ArcGIS เป็นซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์ที่มีเครื่องมือวิเคราะห์และระบบฐานข้อมูลที่ทรงพลัง เหมาะสำหรับ การวิจัยระดับลึก และ การจัดการข้อมูล GIS แบบองค์รวม
- QGIS เป็นทางเลือก โอเพนซอร์ส ที่ให้ความยืดหยุ่นสูง มีเครื่องมือวิเคราะห์ใกล้เคียง ArcGIS โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการใช้งาน
- GRASS GIS มีจุดแข็งในการวิเคราะห์เชิงปริมาณทางสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ เหมาะกับการทำงานที่ต้องการ ความสามารถการประมวลผลแบบอัตโนมัติและการวิเคราะห์ซับซ้อน
✅ บทสรุปในเชิงวิชาการ
แม้ Google Maps และ Google Earth จะมีจุดร่วมในฐานะเครื่องมือแสดงแผนที่และข้อมูลตำแหน่งบนพื้นโลก แต่ในทางวิชาการ:
- Google Maps เหมาะสำหรับการใช้งานในระดับผู้บริโภคทั่วไป และการนำทางในชีวิตประจำวัน
- Google Earth เหมาะสำหรับการศึกษา วิจัย และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่อย่างลึกซึ้ง เช่น การเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของผืนป่าตามช่วงเวลา หรือการศึกษาธรณีสัณฐาน
การเลือกใช้เครื่องมือทั้งสองนี้จึงควรขึ้นอยู่กับ วัตถุประสงค์ของการใช้งาน, ระดับรายละเอียดที่ต้องการ, และ ขอบเขตของการวิเคราะห์เชิงพื้นที่
Google Earth และ Google Maps ทำงานร่วมกันอย่างสอดคล้องโดยมีฐานข้อมูลและแหล่งข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมร่วมกันผ่านระบบคลาวด์ของ Google ทำให้ผู้ใช้งานสามารถ สลับมุมมองระหว่างแผนที่ 2 มิติและโลก 3 มิติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถนำข้อมูลจากระบบหนึ่งไปใช้ในอีกระบบหนึ่งได้อย่างยืดหยุ่น อันเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการวิเคราะห์และประยุกต์ใช้ในงานหลากหลายด้าน อาทิ ด้านการวางแผนเมือง การศึกษาสิ่งแวดล้อม และการประยุกต์ใช้ในงานวิจัยด้านภูมิสารสนเทศ