29, ส.ค. 2006
ประเภทของรีโมทเซนซิง

ประเภทของรีโมทเซนซิง

(Types of Remote Sensing)

ระบบรีโมทเซนซิงสามารถจำแนกออกเป็นสองประเภทหลักตาม แหล่งกำเนิดของพลังงานที่ใช้ในกระบวนการรับรู้ข้อมูลจากระยะไกล ได้แก่ ระบบพาสซีฟ (Passive Remote Sensing) และระบบแอคทีฟ (Active Remote Sensing) ซึ่งมีหลักการทำงานและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน

1. ระบบพาสซีฟ (Passive Remote Sensing)

ระบบพาสซีฟเป็นระบบที่ได้รับความนิยมสูงในงานรีโมทเซนซิง เนื่องจากมีความเหมาะสมต่อการสำรวจพื้นที่ขนาดใหญ่และใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยระบบนี้จะ อาศัยพลังงานจากแหล่งธรรมชาติ คือ ดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของพลังงานในรูปคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electro-Magnetic Radiation: EM) ที่จะกระทบวัตถุเป้าหมายบนพื้นผิวโลก เมื่อวัตถุสะท้อนพลังงานกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ เซนเซอร์ (Sensor) ที่ติดตั้งบนยานพาหนะหรือดาวเทียมจะทำหน้าที่รับและบันทึกค่าพลังงานสะท้อนเหล่านั้น

เนื่องจากระบบพาสซีฟ ต้องอาศัยแสงจากดวงอาทิตย์ จึงจำเป็นต้องปฏิบัติงานในเวลากลางวันเป็นหลัก และมักประสบปัญหาเมื่อต้องทำการสำรวจในช่วงฤดูฝนหรือในพื้นที่ที่มีเมฆ หมอก หรือฝนหนาแน่น เพราะพลังงานในช่วงคลื่นที่ใช้ไม่สามารถทะลุผ่านสภาวะเหล่านี้ได้ ซึ่งทำให้คุณภาพของข้อมูลลดลงหรือขาดหายไปในบางช่วงเวลา

2. ระบบแอคทีฟ (Active Remote Sensing)

ระบบแอคทีฟเป็นระบบที่ สร้างพลังงานขึ้นเอง จากแหล่งกำเนิดที่มนุษย์ควบคุมได้ จากนั้นจึงส่งพลังงานดังกล่าวไปยังวัตถุเป้าหมาย โดยพลังงานจะสะท้อนกลับ (backscattered energy) มายังเครื่องรับสัญญาณภาคพื้นดินเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ เช่น ระบบ เรดาร์ (Radar) ที่ใช้คลื่นไมโครเวฟ และ ไลดาร์ (Lidar) ที่ใช้ลำแสงเลเซอร์หรือคลื่นวิทยุ ทั้งสองระบบนี้สามารถทำงานได้ทั้ง กลางวันและกลางคืน เนื่องจากไม่ต้องอาศัยพลังงานจากธรรมชาติ และยังสามารถ ทำงานได้ในทุกสภาพอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ทัศนวิสัยต่ำ เพราะคลื่นที่ใช้มีความยาวคลื่นมากพอที่จะทะลุผ่านเมฆ หมอก และฝนได้

ข้อได้เปรียบของระบบแอคทีฟจึงอยู่ที่ ความสามารถในการควบคุมสภาพการเก็บข้อมูลได้อย่างแม่นยำและต่อเนื่อง ทั้งในเชิงพื้นที่และเวลา อย่างไรก็ตาม เนื่องจากระบบแอคทีฟมีต้นทุนในการดำเนินงานที่สูงกว่า การใช้งานจึงมักเน้นในกรณีที่ระบบพาสซีฟไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การประยุกต์ใช้งานร่วมกัน

ข้อมูลที่ได้จากระบบพาสซีฟและแอคทีฟสามารถ นำมาผนวกรวมเพื่อการวิเคราะห์ และตีความเชิงพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยการใช้ข้อมูลจากระบบหนึ่งเพื่อเสริมจุดอ่อนของอีกระบบหนึ่ง เช่น การใช้ภาพจากดาวเทียมเรดาร์เพื่อเติมเต็มช่วงเวลาที่ข้อมูลจากระบบพาสซีฟไม่สามารถเก็บได้เนื่องจากมีเมฆปกคลุม หรือการตรวจสอบโครงสร้างพื้นผิวร่วมกับข้อมูลภาพสีธรรมชาติ

ดังนั้น การเข้าใจถึง ประเภทของรีโมทเซนซิง และ ศักยภาพของแต่ละระบบ จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการวางแผนการสำรวจพื้นที่ การเลือกใช้ระบบที่เหมาะสมกับลักษณะทางกายภาพและเงื่อนไขด้านเวลาและสภาพอากาศ จะช่วยให้ได้ข้อมูลเชิงพื้นที่ที่ครบถ้วน ถูกต้อง และนำไปใช้ได้จริงในหลากหลายสาขา ทั้งทางทรัพยากรธรรมชาติ การเกษตร ผังเมือง หรือการจัดการภัยพิบัติ

ตารางเปรียบเทียบระบบรีโมทเซนซิงแบบ Passive และ Active

ประเด็นเปรียบเทียบระบบ Passive Remote Sensingระบบ Active Remote Sensing
แหล่งพลังงานพลังงานจากธรรมชาติ (ส่วนใหญ่จากดวงอาทิตย์)พลังงานที่สร้างขึ้นเองโดยระบบ เช่น คลื่นไมโครเวฟ หรือเลเซอร์
ช่วงเวลาที่สามารถใช้งานได้เฉพาะเวลากลางวันที่มีแสงแดดเพียงพอใช้งานได้ทั้งกลางวันและกลางคืน
ความสามารถในการทำงานในสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยถูกจำกัดด้วยเมฆ หมอก และฝน ไม่สามารถทะลุผ่านสามารถทำงานได้ในทุกสภาพอากาศ โดยเฉพาะคลื่นไมโครเวฟที่ทะลุเมฆและฝนได้
ประเภทข้อมูลที่ได้ภาพถ่ายเชิงแสง เช่น ภาพสีธรรมชาติ ภาพอินฟราเรดข้อมูลโครงสร้างพื้นผิว เช่น ข้อมูล DEM จาก LiDAR หรือความหยาบผิวจาก RADAR
ตัวอย่างเซนเซอร์MODIS, Landsat, Sentinel-2, AVHRRSAR (Synthetic Aperture Radar), LiDAR (Light Detection and Ranging)
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโดยทั่วไปต่ำกว่า เนื่องจากไม่ต้องสร้างแหล่งพลังงานเองสูงกว่า เนื่องจากต้องมีระบบกำเนิดพลังงานในตัว
การประยุกต์ใช้งานหลักแผนที่ที่ดิน, การใช้ประโยชน์ที่ดิน, การเกษตร, การเปลี่ยนแปลงพื้นที่การทำแผนที่ระดับความสูง, การสำรวจป่าในพื้นที่เมฆมาก, การสำรวจโครงสร้างพื้นผิว
ข้อจำกัดไม่สามารถเก็บข้อมูลได้ในเวลากลางคืนหรือเมื่อมีเมฆปกคลุมข้อมูลอาจต้องใช้เทคนิคการประมวลผลขั้นสูงและมีความซับซ้อนทางเทคนิคสูง

ใส่ความเห็น

Related Posts