ประเภทของรีโมทเซนซิง
ประเภทของรีโมทเซนซิง
(Types of Remote Sensing)
ระบบรีโมทเซนซิงสามารถจำแนกออกเป็นสองประเภทหลักตาม แหล่งกำเนิดของพลังงานที่ใช้ในกระบวนการรับรู้ข้อมูลจากระยะไกล ได้แก่ ระบบพาสซีฟ (Passive Remote Sensing) และระบบแอคทีฟ (Active Remote Sensing) ซึ่งมีหลักการทำงานและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน
1. ระบบพาสซีฟ (Passive Remote Sensing)
ระบบพาสซีฟเป็นระบบที่ได้รับความนิยมสูงในงานรีโมทเซนซิง เนื่องจากมีความเหมาะสมต่อการสำรวจพื้นที่ขนาดใหญ่และใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยระบบนี้จะ อาศัยพลังงานจากแหล่งธรรมชาติ คือ ดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของพลังงานในรูปคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electro-Magnetic Radiation: EM) ที่จะกระทบวัตถุเป้าหมายบนพื้นผิวโลก เมื่อวัตถุสะท้อนพลังงานกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ เซนเซอร์ (Sensor) ที่ติดตั้งบนยานพาหนะหรือดาวเทียมจะทำหน้าที่รับและบันทึกค่าพลังงานสะท้อนเหล่านั้น
เนื่องจากระบบพาสซีฟ ต้องอาศัยแสงจากดวงอาทิตย์ จึงจำเป็นต้องปฏิบัติงานในเวลากลางวันเป็นหลัก และมักประสบปัญหาเมื่อต้องทำการสำรวจในช่วงฤดูฝนหรือในพื้นที่ที่มีเมฆ หมอก หรือฝนหนาแน่น เพราะพลังงานในช่วงคลื่นที่ใช้ไม่สามารถทะลุผ่านสภาวะเหล่านี้ได้ ซึ่งทำให้คุณภาพของข้อมูลลดลงหรือขาดหายไปในบางช่วงเวลา
2. ระบบแอคทีฟ (Active Remote Sensing)
ระบบแอคทีฟเป็นระบบที่ สร้างพลังงานขึ้นเอง จากแหล่งกำเนิดที่มนุษย์ควบคุมได้ จากนั้นจึงส่งพลังงานดังกล่าวไปยังวัตถุเป้าหมาย โดยพลังงานจะสะท้อนกลับ (backscattered energy) มายังเครื่องรับสัญญาณภาคพื้นดินเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ เช่น ระบบ เรดาร์ (Radar) ที่ใช้คลื่นไมโครเวฟ และ ไลดาร์ (Lidar) ที่ใช้ลำแสงเลเซอร์หรือคลื่นวิทยุ ทั้งสองระบบนี้สามารถทำงานได้ทั้ง กลางวันและกลางคืน เนื่องจากไม่ต้องอาศัยพลังงานจากธรรมชาติ และยังสามารถ ทำงานได้ในทุกสภาพอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ทัศนวิสัยต่ำ เพราะคลื่นที่ใช้มีความยาวคลื่นมากพอที่จะทะลุผ่านเมฆ หมอก และฝนได้
ข้อได้เปรียบของระบบแอคทีฟจึงอยู่ที่ ความสามารถในการควบคุมสภาพการเก็บข้อมูลได้อย่างแม่นยำและต่อเนื่อง ทั้งในเชิงพื้นที่และเวลา อย่างไรก็ตาม เนื่องจากระบบแอคทีฟมีต้นทุนในการดำเนินงานที่สูงกว่า การใช้งานจึงมักเน้นในกรณีที่ระบบพาสซีฟไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การประยุกต์ใช้งานร่วมกัน
ข้อมูลที่ได้จากระบบพาสซีฟและแอคทีฟสามารถ นำมาผนวกรวมเพื่อการวิเคราะห์ และตีความเชิงพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยการใช้ข้อมูลจากระบบหนึ่งเพื่อเสริมจุดอ่อนของอีกระบบหนึ่ง เช่น การใช้ภาพจากดาวเทียมเรดาร์เพื่อเติมเต็มช่วงเวลาที่ข้อมูลจากระบบพาสซีฟไม่สามารถเก็บได้เนื่องจากมีเมฆปกคลุม หรือการตรวจสอบโครงสร้างพื้นผิวร่วมกับข้อมูลภาพสีธรรมชาติ
ดังนั้น การเข้าใจถึง ประเภทของรีโมทเซนซิง และ ศักยภาพของแต่ละระบบ จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการวางแผนการสำรวจพื้นที่ การเลือกใช้ระบบที่เหมาะสมกับลักษณะทางกายภาพและเงื่อนไขด้านเวลาและสภาพอากาศ จะช่วยให้ได้ข้อมูลเชิงพื้นที่ที่ครบถ้วน ถูกต้อง และนำไปใช้ได้จริงในหลากหลายสาขา ทั้งทางทรัพยากรธรรมชาติ การเกษตร ผังเมือง หรือการจัดการภัยพิบัติ

✅ ตารางเปรียบเทียบระบบรีโมทเซนซิงแบบ Passive และ Active
ประเด็นเปรียบเทียบ | ระบบ Passive Remote Sensing | ระบบ Active Remote Sensing |
---|---|---|
แหล่งพลังงาน | พลังงานจากธรรมชาติ (ส่วนใหญ่จากดวงอาทิตย์) | พลังงานที่สร้างขึ้นเองโดยระบบ เช่น คลื่นไมโครเวฟ หรือเลเซอร์ |
ช่วงเวลาที่สามารถใช้งานได้ | เฉพาะเวลากลางวันที่มีแสงแดดเพียงพอ | ใช้งานได้ทั้งกลางวันและกลางคืน |
ความสามารถในการทำงานในสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย | ถูกจำกัดด้วยเมฆ หมอก และฝน ไม่สามารถทะลุผ่าน | สามารถทำงานได้ในทุกสภาพอากาศ โดยเฉพาะคลื่นไมโครเวฟที่ทะลุเมฆและฝนได้ |
ประเภทข้อมูลที่ได้ | ภาพถ่ายเชิงแสง เช่น ภาพสีธรรมชาติ ภาพอินฟราเรด | ข้อมูลโครงสร้างพื้นผิว เช่น ข้อมูล DEM จาก LiDAR หรือความหยาบผิวจาก RADAR |
ตัวอย่างเซนเซอร์ | MODIS, Landsat, Sentinel-2, AVHRR | SAR (Synthetic Aperture Radar), LiDAR (Light Detection and Ranging) |
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ | โดยทั่วไปต่ำกว่า เนื่องจากไม่ต้องสร้างแหล่งพลังงานเอง | สูงกว่า เนื่องจากต้องมีระบบกำเนิดพลังงานในตัว |
การประยุกต์ใช้งานหลัก | แผนที่ที่ดิน, การใช้ประโยชน์ที่ดิน, การเกษตร, การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ | การทำแผนที่ระดับความสูง, การสำรวจป่าในพื้นที่เมฆมาก, การสำรวจโครงสร้างพื้นผิว |
ข้อจำกัด | ไม่สามารถเก็บข้อมูลได้ในเวลากลางคืนหรือเมื่อมีเมฆปกคลุม | ข้อมูลอาจต้องใช้เทคนิคการประมวลผลขั้นสูงและมีความซับซ้อนทางเทคนิคสูง |